- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 03 March 2017 18:09
- Hits: 8742
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"มีสิทธิแกว่งจากขายทำกำไร & รอข่าวใหม่"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BA (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index ปรับขึ้นต่อแต่ไม่มากเท่ากับภูมิภาค โดยปิด +2.75 จุดที่ 1569.94 โดยมีแรงซื้อหุ้นที่ราคาพักฐานลงมาแล้วแต่มีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งได้ในปีนี้ ส่วนต่างชาติใช้จังหวะตลาดบวกขายสุทธิ ปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
- จับตาสุนทรพจน์ของประธานเฟดในวันนี้ รวมทั้งผลการประชุมเฟด 14-15 มี.ค. ซึ่งผลสำรวจระบุว่าโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้เพิ่มเป็นถึง 75% (จาก 35% ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.พ.)
+ BEAUTY : SSSG กลับมาดีขึ้นหลังผ่านเหตุการณ์บ้านเมืองมาได้ระยะหนึ่ง ด้านอัตรากำไรสุทธิยังสูง 25.6% แนวโน้มปี 60 ขยายตัวดีจากยอดขายสาขาเดิม (SSS) เพิ่มขึ้น เปิดช่องทางการขายใหม่ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน & CLMV แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 14 บาท
+ TU : การลดภาษีธุรกิจในสหรัฐเป็นบวกกับ TU เนื่องจากมีธุรกิจในสหรัฐ (Chicken of the Sea และ Genova) คาดราคาขายปี 60 จะขยับขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นได้ ทำให้มาร์จิ้นจะดีขึ้นจากปีก่อน คาดกำไรปีนี้โตกว่า 20% แนะทยอยสะสมเพื่อลงทุน ราคาพื้นฐาน 25 บาท
- บอร์ดกบร.มีมติให้ปรับปรุงการคิดต้นทุน & เพดานราคาสายการบินใหม่ โดยเฉพาะโลวต์คอสต์ที่ควรแยกออกไปต่างหาก คาดจะประกาศของใหม่ได้ก่อนกลางปี 60 และกบร.เชื่อว่าราคาตั๋วโลว์คอสต์จะลดลง...เป็น Sentiment ลบกับหุ้นสายการบิน เช่น AAV, NOK, THAI
-/ AAV : ปรับลดราคาพื้นฐานเป็น 6.9 บาท (เดิม 7.6 บาท) สะท้อนมาร์จิ้นที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน แต่บริษัทยังมี Share ที่สูงถึง 29.5% ในประเทศ และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะโตได้ 11% ในปีนี้
- BA : ปรับลดคำแนะนำเป็นถือ (เดิมซื้อ) ทั้งนี้ Passenger yield ต่ำลงเพราะการแข่งขันสูง ต้นทุนน้ำมันปรับขึ้นในปีนี้ และมี Overhage เรื่องที่ดินที่สนามบินสมุย ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 60-61 ลง 30%/34% สะท้อนสมมติฐาน Yield ที่ลดลง ให้ราคาพื้นฐานใหม่ 22.50 บาท
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing ต่อเนื่อง หุ้นกลยุทธ์พื้นฐานดีที่แนะนำวันนี้เป็น AMATA
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นบวกเล็กๆ เน้นซื้อค่าบวก แนวต้าน 1575-1580 จุด การอ่อนตัวต่ำกว่า 1565 ควรลดพอร์ตตาม
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ TIPCO, PAP, SAT, JWD ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JMART, SINGER, PTTGC, MEGA หุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ KKP, GLOBAL, GFPT, AJ, SAWAD หุ้นหลุด List เป็น HANA, SPCG, DELTA
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ :
- สหรัฐ : ผลสำรวจระบุโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยกลางมี.ค.สูงขึ้นมาก
ผลสำรวจล่าสุดของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนเชื่อว่ามีโอกาสสูงถึง 75% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. และมีโอกาส 70% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนพ.ค.
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนตัวลงจากการขายทำกำไร & กังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย
นักลงทุนจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ที่ Executives' Club of Chicago ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด รวมทั้งมีการขายทำกำไรหลังราคาหุ้นและดัชนีปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ปิดตลาดเมื่อคืนนี้ดัชนี DJIA ปิดที่ 21,002.97 จุด ร่วงลง 112.58 จุด หรือ -0.53% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,861.22 จุด ลดลง 42.81 จุด หรือ -0.73% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,381.92 จุด ลดลง 14.04 จุด หรือ -0.59%
- สัญญาน้ำมันดิบ : ราคาน้ำมันร่วงแรง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.22 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 52.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 55.08 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ Record High ที่ 520.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ก่อน
- สัญญาทองคำ : ดิ่งลงแรง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 17.1 ดอลลาร์ หรือ 1.37% ปิดที่ระดับ 1,232.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.สูงขึ้นมาก ทำให้ดัชนีค่าเงิน US$ เพิ่มขึ้น
ปัจจัยในประเทศ :
-/ กลุ่มสายการบิน : กบร.ให้ปรับปรุงการคิดต้นทุนสายการบิน...เชื่อราคาตั๋วโลว์คอสต์ลดลงได้อีก
# คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) สั่งการให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ไปปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนในการคิดอัตราค่าโดยสารสายการบินให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง (ของเดิมใช้มาตั้งแต่ปี 2553) และให้จัดทำต้นทุนสายการบินโลว์คอสต์แยกออกมา เพราะปัจจุบันใช้เพดานอัตราค่าโดยสารสูงสุด 13 บาท/กม.เหมือนกับสายการบินฟูลเซอร์วิส แต่ต้นทุนและบริการแตกต่างกัน และให้นำภาษีสรรพสามิตเข้าไปคำนวณเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนเลย เพื่อให้เข้าไปกำกับดูแลได้
# ส่วนที่สายการบินปรับเพิ่มราคาตั๋ว 150 บาท/เที่ยว/คนสะท้อนการเพิ่มขึ้นของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินนั้น เห็นว่าสมเหตุผล เพราะต้นทุนเพิ่ม 150-204 บาท/เที่ยว/คน
# ทั้งนี้ ทางกบร.มองว่าการแยกเพดานค่าโดยสารการบินโลว์คอสต์ออกมาต่างหาก จะทำให้ค่าโดยสารถูกลงกว่าเดิมแน่นอน โดยคาดว่าจะประกาศเพดานใหม่ได้ก่อนกลางปี 60 นี้
# ด้านการควบคุมคุณภาพและรักษาความปลอดภัยก็ยังเดินหน้าต่อไปเพื่อรองรับการเข้ามาตรวจของ ICAO ในเดือนก.ค.60
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : กลุ่มสายการบินมี Overhang เข้ามาอีก โดยต้องรอดูว่าวิธีการคิดต้นทุนที่ปรับปรุงใหม่จะทำให้เพดานและอัตราค่าโดยสารเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่ Guidance ที่ทางกบร.ให้ออกมา ดูเหมือนว่าค่าโดยสารสายการบินโลว์คอสต์จะต่ำลง ซึ่งกระทบ Sentiment หุ้นสายการบินโลว์คอสต์ เช่น AAV, NOK, THAI (ซึ่งมีไทยสมายด์ที่ให้บริการโลว์คอสต์) เป็นต้น เรายังคงให้น้ำหนัก Underweight กลุ่มสายการบิน แม้ว่าภาวะการณ์ท่องเที่ยวในปีนี้จะยังคงเติบโตดี แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอนหลายเรื่อง ธุรกิจมีการแข่งขันสูง รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นก็จะทำให้มาร์จิ้นลดลงด้วย
+ SCC : ลงทุน 1.3 พันล้านบาทเพิ่มสัดส่วนลงทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์เวียดนามจาก 46% เป็น 71%
# SCC แจ้งว่าบริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (VSCG) บริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมดได้เข้าทำสัญญากับ QPI Vietnam Limited (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Qatar Petroleum International เพื่อซื้อหุ้นทั้งหมด 25% ใน Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ใช้เงินลงทุน 1.3 พันล้านบาท ยังผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ VSCG จะเพิ่มจาก 46% เป็น 71% และผู้ร่วมทุนเวียดนามถือ 29%
# โครงการนี้ที่เวียดนามจะเป็นปิโตรเคมีขั้นต้น กลาง และปลายอย่างครบวงจร มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนวัตถุดิบทำให้ความสามารถในการแข่งขันสูง และมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือน้ำลึก และสาธารณูปโภคต่างๆ 30% ของมูลค่าเงินลงทุนโครงการด้วย กำลังการผลิตเอทธีลีน 1 ล้านตัน/ปี ใช้แนฟทาหรือก๊าซในการผลิตก็ได้ และยังมีกำลังการผลิตโพลีโอเลฟินส์ (PE/PP) ราว 1 ล้านตัน/ปีด้วย เงินลงทุนมาจากภายในบริษัทและกู้ยืม
# ทาง SCG คาดว่าจะสรุปการลงทุนโครงการนี้ได้ภายใน 1H60 ระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี เริ่มผลิตได้ในปี 2564 ทั้งนี้ปัจจุบันเวียดนามนำเข้าโพลีโอเลฟินส์มากกว่า 2 ล้านตัน และอุปสงค์มีแนวโน้มเติบโตสูงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]