- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 03 March 2017 17:36
- Hits: 3580
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หลังเสร็จสิ้นการรายงานงบ 4Q59 ทำให้ ASPS ปรับเพิ่มกำไรตลาด (EPS) ปี 2560 ขึ้นจากเดิม 4% เป็นหุ้นละ 101.4 บาท ทำให้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2560 ใหม่อยู่ที่ 1,622 จุด(อิง P/E16 เท่า) มี upside 3.4% กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นเติบโตเหนือตลาดฯ (PTTGC, TASCO, FSMART, JMT) และยังเลือก VNG([email protected]) เป็น Top pick มีโอกาสปรับเพิ่มกำไรและมูลค่าขึ้นจากเดิม
(0) ตลาดให้น้ำหนัก FED ขึ้นดอกเบี้ย 13-14 มี.ค. นี้
แม้ไม่ทราบรายละเอียดถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังประธานาธิบดีทรัมป์ฯ แถลงนโยบายต่อสภาคองเกรสกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม แต่นายทรัมป์ ยังคงยืนยันจะเดินหน้าลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาควบคู่กับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยยังเน้นย้ำถึงการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ(Obamacare) และกีดกันผู้อพยพและการตรวจคนเข้าเมือง, รวมถึงแผนลงทุนด้านสาธารณูปโภค ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ ตามที่เคยหาเสียงไว้ ซึ่งถือว่าหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐ
ขณะที่ตลาดเริ่มกลับมาให้น้ำหนักประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้น หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจทั้งฝั่งภาคบริโภคและภาคการผลิตยังขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุดยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) สำรวจสิ้นสุด 25 ก.พ.60 ลดลง 1.9 หมื่นราย มาสู่ระดับ 2.23 แสนราย (ต่ำสุดในรอบเกือบ 44 ปี) และการที่เงินเฟ้อล่าสุด ที่พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 2.5%yoy ในเดือน ม.ค. จาก 2.1% เดือน ธ.ค.59 จาก 1.6% เดือน พ.ย.59 หนุนตลาดคาดหวังโอกาสขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนจากผลสำรวจ Fed Fund Future คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ย ในการประชุมรอบถัดไป 14-15 มี.ค. เพิ่มอย่างก้าวโดดมาอยู่ที่ที่ 90% จาก 80% วันก่อนหน้า และตั้งแต่รอบ พ.ค.เป็นต้นไป ผลสำรวจคาดโอกาสขึ้นมากกว่า 95% ในทุกรอบ ซึ่งยิ่งหนุนให้ Dollar index แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องนับจากปลายเดือน ก.พ. หลังจากแกว่งมาพักหนึ่ง นอกจากต้องติดตามการกล่าวสุนทรพจน์ ของประธาน Fed นางเจเน็ต เยลเลน วันนี้ ที่ Executives' Club of Chicago ซึ่งน่าจะพูดถึงแนวโน้ม เศรษฐกิจและการขึ้นดอกเบี้ยนับจากนี้ ซึ่งยังถือว่าเป็นปัจจัยชี้นำตลาดหุ้นสหรัฐต่อไปหรือไม่
(-) ดอลลาร์แข็งค่า น่าจะหนุนต่างชาติขายหุ้นเอเชียต่อเนื่อง
วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคกว่า 718 ล้านเหรียญ หลังจากขายสุทธิในวันก่อนหน้า โดยเป็นการซื้อสุทธิอยู่ 3 ประเทศ คือเกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคกว่า 600 ล้านเหรียญ (หลังจากหยุดทำการในวันก่อนหน้า) ตามมาด้วยไต้หวัน 103 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) และอินโดนีเซีย 38 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว), ส่วนที่เหลืออีก 2 ประเทศต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ ฟิลิปปินส์ขายสุทธิราว 8 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 14 ล้านเหรียญ หรือ 503 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ตรงข้ามกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิสูงถึง 3.4 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4)
อย่างไรก็ตามแนวโน้ม Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14 – 15 มี.ค. นี้ ส่งผลให้ Dollar Index มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดเพิ่มขึ้นกว่า 2.6% (mtd) อยู่ที่ 102.20 จุด และยังเป็นการทำจุดสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะหนุน Fund Flow ไหลออกจากภูมิภาคเอเซียต่อเนื่อง
(0) SET ยังแกว่งตัว กลยุทธ์เลือกเป็นรายหุ้น : VNG, PTTGC, TASCO
จากที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ถึงการรายงานงบฯ ปี 2559 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนทำกำไรรวมได้ 8.82 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 92.4 บาท เติบโตราว 37%yoy จากฐานกำไรที่ตำผิดปกติในปี 2558 ส่วนแนวโน้มในปี 2560 นั้น ได้มีการปรับปรุงประมาณการกำไรสุทธิขึ้นจากเดิมราว 4% ส่งผลให้กำไรตลาดอยู่ที่ 9.91 แสนล้านบาท (จากเดิม 9.52 แสนล้านบาท) คิดเป็น EPS 101.4 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 99.8 บาทต่อหุ้น) เติบโต 9.6%yoy โดยกลุ่มฯ หลักๆ ที่คาดว่าน่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่นในปี 2560 ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก เติบโต 21% พลังงาน เติบโต 15% ธนาคารพาณิชย์ 14.3% และภายใต้ประมาณการกำไรสุทธิใหม่ อิง Expected P/E ที่ 16 เท่า คำนวณบนสมมติฐาน Earning Yield Gap ที่ 4.75% ทำให้ได้ดัชนีเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2560 ที่ 1,622 จุด (จากเดิม 1,600 จุด) แม้จะช่วยเปิด upside ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มากนักเพียง 3.4% เท่านั้น
ทั้งนี้ ระดับ Expected P/E ตลาดหุ้นไทย (อิงประมาณการใหม่) ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 15.5 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นภูมิภาค เช่น ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่ 15.6 เท่า มาเลเซีย 16.2 เท่า ฟิลิปปินส์ 17.4 เท่า แต่สูงกว่าตลาดหุ้นจีนที่ 13.6 เท่า และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ (Dow Jones) ที่ค่อนข้างแพง 18 เท่า และใกล้เคียงกับตลาดหุ้นภูมิภาคยุโรป (STOXX 600 ที่ 15.4 เท่า อังกฤษที่ 15 เท่า ฝรั่งเศส 14.6 เท่า) และหากพิจารณาในแง่ของการเติบโตของกำไรฯ ตลาด ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 9.6% ดีกว่า ฟิลิปปินส์ที่โตเพียง 5.7% มาเลเซีย 5.5% แต่โตน้อยกว่าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 13.6% และจีน 13.5% รวมทั้งโตใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปที่โตเฉลี่ย 8 – 9%
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับประมาณการฯ ตลาดหุ้นไทย แต่ตราบใดที่ยังไม่มีกระแส Fund Flow ไหลเข้ามาหนุน ก็ยากที่จะผลักดันตลาดขึ้นไป ประกอบกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย Fed รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐิกจสหรัฐ ที่จะช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ให้เติบโตมากขึ้น อาจเป็นอีกปัจจัยที่ดึงกระแสเงินทุนไหลกลับ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน จึงยังต้องเน้น selective buy ลงทุนเป็นรายหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรโดดเด่น (Earning Momentum) อาทิ VNG ([email protected]), TASCO (FV@B30), PTTGC ([email protected])
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์