- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 February 2017 17:50
- Hits: 1535
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index: หลุดแนวรับสำคัญ 1565 แนวรับถัดไป 1550
SET Index: 1563.47 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลุดแนวรับสำคัญของเส้นแนวโน้มขา ขึ้นระยะสั้นที่บริเวณ 1565 จุดลงไป แต่มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นไปเหนือระดับ 1568 จุด แต่ถ้าปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 1560 จุดลงไป ความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงจากแรงขายต่อเนื่องจะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ถ้าไม่มีสัญญาณการเข้าซื้อหุ้นที่บริเวณ 1560 จุด จะมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบ 1550 จุด และมีแนวรับถัดไปที่ 1530-1540 จุด
แนวต้าน : 1568 และ 1570
แนวรับ : 1560** และ 1550
CPF = 26.50 / 27.50, BANPU = 19.50 / 19.70, CBG = 65.00 / 66.00, MTLS = 29.50 / 30.50, CK = 27.00 / 27.50
GFPT (GFPT TB; THB 15.10) -ซื้อ
แนวต้าน : 15.50 และ 15.80
แนวรับ : 15.10 และ 15.00
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับของรูปแบบสามเหลี่ยมแล้วสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทดสอบระดับ 0 เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัด
แนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 60
แนะนำซื้อ GFPT โดยมีแนวรับที่ 15.10 และ 15.00 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 15.50 และ 15.80 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 14.50 ลงไป
SPCG (SPCG TB; THB 22.50) -ซื้อ
แนวต้าน : 23.00 และ 23.40 / แนวต้านสำคัญ 24.00
แนวรับ : 22.50 และ 22.30
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณซื้อทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างแข็งแกร่ง หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน และแนวรับของกรอบแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวแหนือแนวโน้มลงต่อเนื่อง RSI เคลื่อนไหวออกด้านข้างเหนือระดับ 60
แนะนำซื้อ SPCG โดยมีแนวรับที่ 22.50 และ 22.30 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 23.00 และ 23.40 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 22.00 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET…ขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น
ปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์หน้าที่จะเป็นปัจจัยสำคัญกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกได้แก่ การจับตาดูว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่นายโดนัลด์ ทรัมปัจะมีการประกาศนโยบายภาษี (ลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 35% เหลือ 15%) ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาพคองเกรสในวันที่ 28 ก.พ. 60 หรือไม่ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนต่างมีการเข้าซื้อเก็งกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนี DJIA ปรับตัวขึ้น 10 วันทำการติดต่อกัน ทำสถิติปิดในแดนบวกที่ยาวนานที่สุดในรอบ 30 ปี และทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อบวกกับตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาจับตามองว่าการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (fed) ในวันที่ 14-15 มี.ค. จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้หรือไม่
สำหรับในเดือนมีนาคมปัจจัยสำคัญอยู่ที่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เป็นสำคัญ ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ตลาดคาดว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในเดือนมิถุนายนก่อนที่จะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในครึ่งปีหลัง แต่จากรายงานการประชุมเฟดที่เปิดเผยออกมาว่ามีเจ้าหน้าที่เฟด 2-3 คนที่แสดงความเห็นว่า เฟดควรดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า (14-15 มี.ค. 60) ซึ่งจะช่วยให้เฟดมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นรายงานการประชุมยังเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอนจากนโยบายของคณะทำงานภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีคนใหม่อีกด้วย หากเฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมเราคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ fund flow น่าจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปที่สหรัฐฯ ต่อเนื่อง ดังนั้นตลาดหุ้นเกิดใหม่น่าจะมีโอกาสถูกขายทำกำไรออกมา
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 54.45 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 เดือน สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจาก EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 564,000 บาร์เรล สู่ระดับ 518.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ากว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล ก่อนหน้านี้ การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ. ลดลง 884,000 บาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ที่ส่งสัญญาณให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตมากขึ้น โดยนายโมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขาธิการโอเปก เปิดเผยว่า สมาชิกโอเปกมีความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตมากขึ้น หลังจากที่ข้อมูลบ่งชี้การให้ความร่วมมือในระดับสูงกว่า 90% ในเดือนม.ค. เพื่อลดปริมาณน้ำมันจำนวนมากในตลาด นายบาร์คินโดยังคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันในตลาดโลกจะลดลงในปีนี้ โดยเขากล่าวว่า "สต็อกน้ำมันในกลุ่มประเทศ OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ได้ลดลงในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว และเราคาดว่าสต็อกจะลดลงต่อไปในปีนี้"
เราคาดว่าราคาน้ำมันมีโอกาสจะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 20 เดือน เหนือระดับ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล ในเดือนนี้ จากปัจจัยบวกทั้ง 1) การลดกำลังการผลิตที่มากขึ้นของโอเปก 2) ตัวเลขสต๊อกน้ำมันของสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้น้ำมันที่กลับมาแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และ 3) นโยบายลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะประกาศในสัปดาห์หน้าจะช่วยหนุนให้สหรัฐฯ มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น (ทั้งเพื่อการลงทุนในธุรกิจและเพื่อการบริโภค) ดังนั้นราคาน้ำมันที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นจะเป็นบวกกับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดย PTTEP ซึ่งเป็นผู้ผลิตขั้นต้นน้ำ (upstream) จะเป็นผู้ได้ประโยชน์โดยตรงจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ เราแนะนำ ซื้อเก็งกำไร โดยมีราคาเป้าหมาย 110 บาท ส่วนหุ้นในกลุ่มรองที่ เราแนะนำ ซื้อ ประกอบด้วย PTT ราคาเป้าหมาย 402 บาท, TOP ราคาเป้าหมาย 94 บาทและ IVL ราคาเป้าหมาย 54 บาท
สำหรับ ผลประกอบการไตรมาส 4/59 ที่ทยอยประกาศออกมาเมื่อวานนี้ มีบริษัทที่ประกาศออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดที่คาดว่าจะช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับขึ้นได้ในวันนี้ประกอบด้วย WORK CPALL MEGA MC PTG และ BPP ในขณะที่บริษัทที่ประกาศผลกำไรออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดซึ่งอาจมีแรงขายออกมาในวันนี้ประกอบไปด้วย TPCH BLA BEC TICON AAV EA SMT BRR THRE ICHI และ BA
วันนี้ เราคาดว่าตลาดจะยังซึมลงต่อเนื่องจากการขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น โดยหุ้นกลุ่มหลักอย่างธนาคาร ICT อาจเผชิญแรงขายทำกำไรระยะสั้น ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีอาจมีแรงซื้อหนุนเข้ามาช่วยพยุงตลาดไว้ในวันนี้ จากการที่ตลาดยังเคลื่อนไหวไร้ทิศทาง ทำให้การเก็งกำไรอาจจะต้องเน้นไปที่หุ้นรายตัวมากขึ้น (selective buy) โดยเน้นหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดีหรือมีการฟื้นตัวของผลกำไรในปีนี้และราคาหุ้นยังมี upside จากราคาตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ โดยวันนี้มองแนวต้านที่ 1575-1580 และแนวรับที่ 1555-1560 จุด วันนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไร MEGA PTTEP SGP และ WORK
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(PM)
Morning Market Summary…
SET ช่วงเช้าปิดที่ 1,563.47 จุด ลดลง 3.85 จุด (-0.25%) มูลค่าการซื้อขาย 19,747.82 ล้านบาท หุ้นไทยเช้านี้ปรับลงในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาคที่ส่วนใหญ่เป็นลบ ตลาดรอปัจจัยใหม่หนุน ขณะที่นักลงทุนยังรอดูนโยบายภาษีของ "ทรัมปั" และแนวโน้มของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
Afternoon Perspective…
แนวโน้มตลาดบ่าย ถ้ากลับไปยืน 1565 จุดไม่ได้ จะยืนยันสัญญาณขาย ในทางกลยุทธ์ จำเป็นต้องทยอยลดพอร์ตลงก่อน เพื่อรอสัญญาณกลับตัวรอบใหม่ โดยจะมีแนวรับถัดไปที่ 1545 จุด ซึ่งอาจจะเสี่ยงเข้าซื้อลุ้นรีบาวน์ได้ กลยุทธ์ระยะสั้นๆ กลับมาเน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยหนุน แนะนำ BANpU มีประเด็นบวกจากแนวโน้มผลการดำเนินงาน 1Q17 ที่น่าจะออกมาดีต่อเนื่องจาก 4Q16 ที่ออกมาดีกว่าที่คาด โดยปัจจัยหนุนหลักจะมาจาก 1) การเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินในตลาดโลก 2) การรับกำไรจาก Bpp หลังสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ดีขึ้น เราให้ราคาเหมาะสมที่ 25 บาท
Technical Pick (PM) ...
GFPT (GFPT TB; THB 15.10) - ซื้อ
SPCG (SPCG TB; THB 22.50) - ซื้อ
Analysts :
Teerawut Kanniphakul +66(2) 657 9233 - [email protected]/ [email protected]