- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 February 2017 17:48
- Hits: 1436
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ต่างประเทศน่าจะให้น้ำหนักต่อปัญหาการเมืองในยุโรป ขณะที่นโยบายลดภาษีและการกีดกันทางการค้าสหรัฐน่าจะตอบรับในตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นโลกไปในระดับหนึ่งแล้ว ส่วนการรายงานงบงวด 4Q59 ใกล้สุด และหลังจากนี้เป็นการประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2559/2H59 ทำให้ SET ยังแกว่งตัวในกรอบ 1560-1580 จุด กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นที่มีการเติบโตเหนือตลาดฯ (PTTGC, TASCO, FSMART) ยังเลือก COM7(FV@B14) เป็น Top pick หลังซื้อบริษัทขายโทรศัพท์และอุปกรณ์ค่ายอื่นนอกเหนือ APPLE เตรียมปรับกำไรและ Fair Value ปี 2560 ขึ้นจากเดิม
(-) ความเสี่ยงฝรั่งเศส จะออกจากยุโรปมีน้ำหนักมากขึ้น
ปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ นอกเหนือจากรอการประกาศลดภาษีทั้งระบบของสหรัฐ ภายหลังที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับข้อมูลจากการเดินสายพบปะผู้บริหารระดับสูงทุกอุตสาหกรรมทุกวันศุกร์ของสัปดาห์ (สัปดาห์นี้พบภาคการผลิต อาทิ ยานยนต์ ปิโตรเคมี หลังจากสัปดาห์ก่อนหน้าภาคบริการ อาทิ ค้าปลีก และสายการบิน) โดยหลักๆ น่าจะพูดคุยถึงปัญหาธุรกิจ และการเดินหน้ามาตรการภาษี โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้า(Import Tax) จากประเทศคู่ค้า ล่าสุดจะขึ้นภาษีจากเม็กซิโก 20% หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งจะกระทบต่อสินค้านำเข้า แต่จะได้รับชดเชยจากการลดภาษีทั้งระบบ ขณะที่ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ตลาดน่าจะตอบรับต่อการ ขึ้นดอกเบี้ยตามที่ Fed คาดไว้ 3 ครั้ง ราว 0.75% ภายใต้เงื่อนไขสำคัญ คือ ตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้อ ที่เข้าสู่เป้าหมาย (ล่าสุด เงินเฟ้อเดือน ม.ค. 2.5% (สูงสุดในรอบ 4 ปี) จาก 2.1% เดือน ธ.ค.59 และจาก 1.6% ในเดือน พ.ย. 2559
ขณะที่ยุโรป ความเสี่ยงทางการเมืองและกระแสชาตินิยมของพรรคฝ่ายขวาเริ่มเห็นมากขึ้น สะท้อนจากโพลสำรวจพบว่าคะแนนนิยมพรรคชาตินิยมโดยเฉพาะ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลน์ ที่ชูประเด็นออกจากยุโรป เริ่มมีคะแนนสูงขึ้น และนับจากนี้อาจจะต้องให้น้ำหนักต่อการเลือกตั้งประเทศสมาชิกในยุโรปที่จะเกิดขึ้นดังนี้
15 มี.ค.60 เลือกตั้งในประเทศ เนเธอร์แลนด์ ตามมาด้วย ฝรั่งเศส เลือกตั้งรอบแรก 23 เม.ย. และรอบที่สอง 7 พ.ค. และปลายปี 22 ต.ค.จะมีการ เลือกตั้งเยอรมนี ทั้งหมดนี้อาจเป็นฉนวนให้ประเทศกลุ่มสมาชิกต้องการออกจากสหภาพยุโรป (EU) ดังเช่น Brexit 24 มิ.ย. 59 และในอิตาลี หลังการลงประชามติเมื่อ 4 ธ.ค. ประชาชนลงประชามติ ไม่สนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลแก้ไขปัญหารเงินของประเทศ ทำให้นายกฯลาออกและพรรคฝ่ายค้าน (พรรค5SM) เข้ามาบริหารประเทศแทนนายกฯ คนปัจจุบัน ทั้งนี้พรรคฝ่ายค้านมีแนวคิดจะถอนตัวอิตาลี ทำให้โดยรวมสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรให้มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องในระยะยาว
(+) ราคาน้ำมันทำสถิติสูงสุดรอบ 19 เดือน..หวัง Oversupply ที่ลดลง
วานนี้สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ สิ้นสุด 17 ก.พ. 59 เพิ่มขึ้นเพียง 0.564 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าคาดที่จะเพิ่มขึ้น 3.745 ล้านบาร์เรลอยู่มาก (แต่ยังเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 7 สัปดาห์) ส่งผลให้วานนี้สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.45% มาอยู่ที่ 54.45 เหรียญฯต่อบาร์เรล และยังเป็นการทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 19 เดือนที่ผ่านมา
และยังเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบโลก ยังมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูง 50-55 เหรียญฯต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการร่วมมือกันตัดลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ซึ่งสังเกตได้ว่าในเดือน ม.ค. 2560 กลุ่มโอเปกมีการลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 8.9 แสนบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 32.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จาก 33.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ธ.ค.2559 ขณะที่สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดความต้องการใช้น้ำมันดิบในปี 2560 จะอยู่ที่ระดับ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งจะทำให้ปริมาณความต้องการ และอุปทานน้ำมัน เข้ามาสู่จุดสมดุลได้ในกลางปีนี้ ในสถานการณ์นี้ถือว่ายังหนุน PTTEP (FV@B116) และ PTT (FV@B460)
(+) ต่างชาติยังซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ด้วยมูลค่าราว 177 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนิเซียเพียงแห่งเดียวที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 18 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคที่เหลืออีก 4 แห่งต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ โดยแรงซื้อสุทธิกระจุกตัวอยู่เฉพาะในตลาดหุ้นไต้หวันกว่า 166 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 12) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ที่ต่างชาติซื้อสุทธิราว 11 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6), ฟิลิปปินส์ 17 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) และไทยที่ต่างชาติซื้อสุทธิเล็กน้อยเพียง 2 ล้านเหรียญ หรือ 76 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 655 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 251 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว) เช่นเดียวกับสถาบันฯที่สลับมาซื้อสุทธิราว 1.6 หมื่นล้านบาท
(0) งบงวด 4Q59 ประกาศใกล้จบ มองกำไรปี 2560 เติบโตราว 8%
จนถึงเย็นวานนี้ บริษัทจดทะเบียนรายงานงบ 4Q59 แล้ว 263 บริษัท (จากทั้งหมด 576 บริษัท) หรือ คิดเป็น 76% ของ Market cap ทั้งตลาด กำไรสุทธิรวม 1.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1%yoy แต่ลดลง 1.6%qoq บริษัทที่ยังไม่ได้ประกาศงบฯ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งหากประเมินว่าจะทำกำไรได้ใกล้เคียงกับงวด 3Q59 ทำให้คาดว่าภาพรวมกำไรสุทธิรวมของทั้งตลาดงวด 4Q59 จะอยู่ที่ 2.06 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นระดับกำไรปกติ (แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 3Q59 ที่ทำได้ 2.14 แสนล้านบาท) และทำให้กำไรตลาดฯ ปี 2559 จะอยู่ที่ 8.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ 6.5 แสนล้านบาท ราว 34%yoy และ EPS อยู่ 92.5 บาท (vs 68.8 บาท ปี 2558) และ ในปี 2560 ASPS ประเมินกำไรตลาดที่ราว 9.5 แสนล้านบาท (EPS 99.8 บาท) เติบโตราว 8%yoy โดยโครงสร้างกำไรสุทธิปี 2560 พบว่า กลุ่มฯ ที่ขับเคลื่อนมาจากกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ ธนาคารพาณิชย์ ตรงข้ามกลุ่มสื่อสารที่ยังกดดันตลาด รายละเอียดดังที่กล่าวแล้วใน Market Talk วานี้
(0) เงินปันผลงวด 2H59 ลด จากกลุ่ม ICT และบันเทิง
นับจากนี้ การลงทุนน่าจะเน้นไปยังหุ้นปันผล ที่ทยอยประกาศ หลังการรายงานงบ 4Q59 จะเสร็จสิ้น แต่เป็นที่สังเกตว่า และหลังจากนี้บริษัทจดทะเบียนจะประกาศจ่ายเงินปันผลตามมา โดยคาดว่าจะทยอยขึ้น XD (สิทธิได้รับเงินปันผล) ช่วง มี.ค.- พ.ค. 2560 (สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 2H59 หรือ 4Q59 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในอดีตย้อนหลัง 5 ปี พบว่า หุ้นที่มีประวัติการจ่ายปันผลที่ดี ราคาหุ้นมักจะเคลื่อนไหว หรือตอบสนองในด้านบวกก่อนล่วงหน้าประกาศจ่ายเงินปันผลเสมอ นักลงทุนที่ซื้อหุ้นปันผลก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD จึงน่าจะให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ แต่ขึ้นกับระยะเวลาของการซื้อ เพราะยิ่งใกล้วัน XD ผลตอบแทนจะยิ่งลดลง กล่าวคือ
หากซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 1.5 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD มีโอกาสได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 6.44% (ความน่าจะเป็นที่มีผลตอบแทนเป็นบวกกว่า 77%) โดย ASPS ได้คัดกรองหุ้นปันผลสูง ที่ คำแนะนำ “ซื้อ” และ มี Upside สูงกว่า 10% ออกเป็น 2 ประเภท คือ
หุ้นปันผลที่จ่ายปีละครั้ง หากซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 1.5 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 9.43% (ความน่าจะเป็น 87%)
หุ้นปันผลสูงที่กำหนดจ่ายปันผลปีละครั้ง
หุ้นปันผลสูงที่จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้งขึ้นไป หากซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 1.5 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 5.67% (ความน่าจะเป็น 75%)
หุ้นปันผลสูงที่กำหนดจ่ายปีละ 2 ครั้งขึ้นไป
หมายเหตุ: หุ้นที่ประกาศจ่ายปันผลแล้ว สามารถดูวันที่ขึ้น XD ได้ในแถว X-Date ส่วนหุ้นที่ยังไม่ประกาศจ่ายปันผล สามารถเทียบเคียงวันที่ขึ้น XD ในปีที่แล้วได้ในแถว XD-Date58
แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่สังเกตว่าการจ่ายเงินปันผลในช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไปคือ จ่ายเป็นหุ้นปันผลแทนเงินสด เพื่อต้องการเก็บเงินสดไว้ขยายกิจการ และเพื่อป้องกันการระดมเงินจากการก่อหนี้ โดยเฉพาะ B/E ที่เริ่มมีปัญหาในการชำระคืนในบางบริษัท สะท้อนจาก ธุรกิจเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง-แฟคตอริ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่มี Gearing Ratio ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับธุรกิจทั่วไป ได้นำร่องประกาศไปแล้วคือ IFS, SAWAD, LIT
ตามมาด้วยกลุ่มสื่อสาร คือ JMART และกลุ่มค้าปลีก คือ GLOBAL และล่าสุดคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คือ SENA กำไรสุทธิงวด 4Q59 ที่ 102 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด ได้ประกาศจ่ายหุ้นปันผลเช่นกันในงวด 2H59 ในอัตราส่วน 16 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล (เงินสดอีก 0.00996 บาท ค่าภาษี) ขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 2560 จากงวด 1H59 จ่าย 0.1946 บาทต่อหุ้น
และล่าสุด RS ไม่จ่ายเงินปันผล การดำเนินงานปี 2559 แต่จ่ายเป็นใบสำคัญแสดงสิทธิแทน หรือ warrant แทน โดยจัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม 5 หุ้นได้ 1 warrants ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 12 เม.ย. 2560 จากเดิมที่เคยจ่ายเป็นเงินสด เพราะผลประกอบการขาดทุน ดังจะได้กล่าวถึงในตอนท้าย
นอกจากนี้ การลดอัตราการจ่ายเงินปันผล หรือยกเลิกการจ่ายเงินปันผล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผลประกอบการที่ถดถอย เริ่มจากกลุ่มสื่อสาร คือ ADVANC ลด payout ratio และมีผลทำให้ INTUCH ลดการจ่ายเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC และ DTAC งดการจ่ายเงินปันผล เพราะประสบภาวะขาดทุน และถัดมาน่าจะเป็นกลุ่มบันเทิง ซึ่งส่วนใหญ่ประสบภาวะขาดทุน คือ
MONO พบว่า ขาดทุนถึง 193 ล้านบาทในงวด 4Q59 ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 249.5 ล้านบาท ตามด้วย AMARIN ขาดทุน 159 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ขาดทุนสุทธิมากถึง 628.1 ล้านบาท และ RS(FVB10.4) ขาดทุน 63 ล้านบาท ในงวด 4Q59 ทำให้ทั้งปี 2556 ขาดทุน 102 ล้านบาท แต่คาดว่าน่าจะกลับมามีกำไรอีกครั้งในงวด 1Q60 ตามเม็ดเงินโฆษณาที่น่าจะดีขึ้นตามความนิยมช่อง 8 ที่ดีขึ้นในรายการข่าว และ กีฬา ทำให้สามารถปรับอัตราค่าโฆษณามาอยู่ที่นาทีละ 3 หมื่นบาทได้เป็นครั้งแรก ทำให้ RS ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับการดำเนินงานปี 2559 แต่ได้จ่ายเป็น warrant แทน ดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ยกเว้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ และสื่อนอกบ้าน อย่าง MAJOR และ PLANB ที่ยังคงมีกำไรสุทธิ แม้จะลดลงกว่า 72% และ 50% จากงวดก่อนหน้าตามลำดับ และ ยังจ่ายเงินปันผลตามปกติ คือ 0.6 บาทต่อหุ้นสำหรับ 2H59 ขึ้น XD 18 เม.ย. 2560 และ 0.0350 บาทต่อหุ้นสำหรับปี 2559 ขึ้น XD 1 มี.ค. 2560 ตามลำดับ
และ WORK(FV@B58) แม้ขาดทุน 72 ล้านบาท ฉุดให้ทั้งปี 2559 กำไรลดลงเหลือ 199 ล้านบาท แต่ยังเพิ่มขึ้น 32% จากปี 2558 และ คาดว่าจะกลับมามีกำไรทุกไตรมาสตามปกติ โดยปี 2560 คาดจะมีกำไร 499 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 627 ล้านบาท ปี 2561เพราะเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ค่าโฆษณาเฉลี่ยงวด 1Q60 อยู่ที่ 5.8 หมื่นบาทต่อนาที เพิ่มจากปี 2559 ที่ 5.1 หมื่นบาทต่อนาที และมีผู้จองโฆษณาแล้วทั้งปี 2560 โดยคาดว่า utilization rate จะเพิ่มขึ้นจาก 35-40% ในงวด 4Q59-1Q60 เป็น 75% ในงวด 2Q60 แต่ยังประกาศจ่ายเงินปันผล 0.27 บาทต่อหุ้น สำหรับงวด 2H59 (ขึ้นเครื่องหมาย XD 7 มี.ค. นี้)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์