- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 February 2017 08:53
- Hits: 1852
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ผันผวน? หลังตลาดต่างประเทศเคลื่อนไหวไร้ทิศทางมีทั้ง + / - ตามประเด็นต่างประเทศหลังมีการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟด เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ที่มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่มีเจ้าหน้าที่เฟด 2 – 3 ราย เห็นพ้องให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังตัวเลขเศรษฐกิจเป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลต่อนโยบายของ ปธน.สหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอน
ขณะที่แนะติดตาม (1) การกล่าวสุนทรพจน์ของ ปธน.สหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรส (28/2/60) ซึ่งคาดมีการประกาศแผนปรับลดภาษี ทั้งเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล พร้อมงบประมาณใช้จ่ายโครงการสาธารณูปโภค ที่คาดช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน และคาดส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงเป็น Sentiment ที่ดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลก (2) การประชุมของเฟด (14 – 15/3/60) โดยเฉพาะประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลัง จนท.เฟด เริ่มส่งสัญญาณให้พิจารณาปรับขึ้น ซึ่งคาดมีผลต่อ Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย และส่งผลต่อค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น คาดทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ซื้อขายเป็นเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง รวมถึงในระยะกลาง มีการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน คาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนจาก (+) แผนการปรับลดปริมาณผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้ง OPEC และ Non OPEC (-) ปริมาณผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยังคงมีความกังวลอุปทานส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม คาดระดับราคาน้ำมันในปี’60 อยู่ในระดับที่สูงกว่าปี’59 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 41 – 42USD ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลง
ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังอยู่ในช่วงทยอยประกาศผลการดำเนินงานปี’59 คาดมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องถึงก.พ.’60 รวมถึงเงินปันผล โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่ผลการดำเนินงานเติบโตดี เช่น PTTGC, TOP และ SPRC เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,572.04 +7.62 987.05 +6.02 2,226.59 +13.57
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+/-) ตลาดต่างประเทศ DJIA +32.60, NASDAQ -5.32, S&P -2.56, FTSE +27.42, CAC +7.12 และ DAX +31.10
DJIA ยังทำปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 9 วันทำการ โดยทำสถิติปิดในแดนบวกยาวนานที่สุดในรอบ 30 ปี ภายใต้ปัจจัยบวก (1) ประเด็น
การควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่จะมีการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทดูปองท์ และดาว เคมิคอล และ (2) ยอดขายบ้านมือสอง – ม.ค. เพิ่มขึ้น 3.3%MoM อยู่ที่ 5.69 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่ก.พ.’50 อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด หลังรายงานการประชุมของเฟด (31 ม.ค. – 1 ก.พ.’60) ระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ยังแสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และควรที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ หากข้อมูลที่ได้รับมานั้นส่งสัญญาณว่าตลาดแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อมีความสอดคล้อง หรือ แข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ของเฟดในปัจจุบัน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี – ก.พ. อยู่ที่ 111.0 สูงกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 109.7 และสูงกว่า 109.9 เมื่อม.ค.
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน เม.ย. -US$0.74 อยู่ที่US$53.59ต่อบาร์เรล แม้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ปรับลดกำลังการผลิตร่วมกับประเทศนอกกลุ่ม แต่การที่สหรัฐเพิ่มการผลิตน้ำมัน shale oil จะสร้างความผันผวนในตลาด รวมถึงคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น โดย EIA จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบในวันนี้
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
18.4 1.97 2.92
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 44,893.08
สถาบัน 332.4
บัญชีหลักทรัพย์ -225.47
ต่างประเทศ 899.66
ในประเทศ -1,006.59
ขณะที่ในระยะกลาง– ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 –3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี 60 ที่โดดเด่น เช่น ANAN, SPALI และ SC ในขณะที่ CPN จะได้รับประโยชน์ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น STEC, SYNTEC และ UNIQ
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(6) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(7) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจสนามบิน เช่น AOT จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี 0.01 อยู่ที่ 2.42%
(ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.17 อยู่ที่ 11.74
หุ้นแนะนำ : VNG
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788
