- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 February 2017 08:47
- Hits: 944
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
การกลับมาของนักลงทุนต่างชาติเป็นเพียงระยะสั้นๆ และเป็นการเลือกซื้อขายบางหุ้นเช่น PTT, PTTGC, TASCO, SCB ขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมยังย่อยข่าวงบ 4Q59 และการประกาศเงินปันผลปี 2559/2H59 ทำให้ SET ยังแกว่งตัวในกรอบ 1560-1580 จุด กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นที่มีการเติบโตเหนือตลาดฯ (PTTGC, TASCO, FSMART) วันนี้เลือก COM7(FV@B14) เป็น Top pick หลังซื้อกิจการขายโทรศัพท์และอุปกรณ์ของค่ายอื่นนอกเหนือ APPLE อีก 44 สาขา น่าจะหนุนกำไรและ Fair Value ปี 2560 ขึ้นจากเดิม ซึ่งจะ update หลัง Analylst’s meeting อีกครั้ง
(-) Fed เตรียมขึ้นดอกเบี้ยต่อ..เงินเฟ้อและแรงงานยังแข็งแกร่ง
รายงานการประชุม Fed Minute ของเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา สรุปว่ายังคงเน้นย้ำเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด สะท้อนจากที่ประธาน Fed และคณะกรรมการ Fed ส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และคาดหวังว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานธิบดีทรัมป์ จะเป็นตัวเร่งเศรษฐกิจสหรัฐให้เติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เงื่อนไขสำคัญที่หนุนการขึ้นดอกเบี้ยมากน้อยนั้น ขึ้นกับตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อ ซึ่งล่าสุด เงินเฟ้อเดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ 2.5% (สูงสุดในรอบ 4 ปี) จาก 2.1% เดือน ธ.ค.59 และจาก 1.6% ในเดือน พ.ย. ทั้งนี้ผลสำรวจของ Bloomberg คาดโอกาสขึ้นดอกเบี้ยในรอบ มี.ค. ลดลงที่ 34% จาก 36% ในวันก่อนหน้า และรอบ พ.ค. คาดเพิ่มขึ้นเป็น 62% จาก 58% ทำให้ระยะสั้นกดดันค่าเงินดอลลาร์ชะลอการแข็งค่าไปอีกสักระยะหนึ่ง
(+) ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นไทย และยังซื้อหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6
วานนี้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่ากว่า 532 ล้านเหรียญ โดยเป็นการซื้อสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้น ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ถูกขายสุทธิราว 20 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่วนตลาดหุ้นอีก 4 แห่ง ต่างชาติซื้อสุทธิ คือ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิสูงสุดในภูมิภาคกว่า 421 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5) รองลงมาคือไต้หวัน 99 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 10), อินโดนีเซีย 7 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 5 วัน) และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 26 ล้านเหรียญ หรือ 900 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 2 วัน) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิราว 332 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
และหากพิจารณาแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติผ่าน NVDR ในวานนี้ พบว่า แรงซื้อส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพลังงาน และวัสดุก่อสร้าง โดยมีหุ้น 5 ลำดับแรกที่ต่างชาติซื้อสุทธิมากที่สุด คือ SCC ซื้อสุทธิสูงที่สุดกว่า 230 ล้านบาท ตามมาด้วย PTT 213 ล้านบาท, SCB 204 ล้านบาท, TASCO 174 ล้านบาท และ PTTGC 133 ล้านบาท ซึ่งสังเกตได้ว่าในหุ้น 5 ลำดับแรกที่ต่างชาติเลือกที่จะซื้อสุทธิมากที่สุด มีอยู่ในพอร์ตกระดาษ ASPS ถึง 3 ตัว คือ TASCO เพิ่มขึ้น 7% และ PTTGC เพิ่มขึ้น 3.6% ยกเว้น SCB ไม่เปลี่ยนแปลง
(0) กำไรตลาดฯ งวด 4Q59 ยังใกล้เคียงกับคาด
ล่าสุดถึงเย็นวานนี้ บริษัทจดทะเบียนรายงานงบ 4Q59 แล้วกว่า 194 บริษัท (จากทั้งหมด 576 บริษัท) หรือ คิดเป็น 66% ของ Market cap ทั้งตลาด กำไรสุทธิรวม 1.64 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.5%yoy แต่ลดลง 4.4%qoq บริษัทที่ยังไม่ได้ประกาศงบฯ ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งหากประเมินว่าจะทำกำไรได้ใกล้เคียงกับงวด 3Q59 ทำให้คาดว่าภาพรวมกำไรสุทธิรวมของทั้งตลาดงวด 4Q59 จะอยู่ที่ 2.06 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นระดับกำไรปกติ (แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 3Q59 ที่ทำได้ 2.14 แสนล้านบาท) และทำให้กำไรตลาดฯ ปี 2559 จะอยู่ที่ 8.8 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่ 6.5 แสนล้านบาท ราว 34%yoy และ EPS อยู่ 92.5 บาท (vs 68.8 บาท ปี 2558)
ส่วนปี 2560 อิงตามประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย คาดว่ากำไรตลาดจะอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท (EPS 99.8 บาท) เติบโตราว 8%yoy โดยโครงสร้างกำไรสุทธิปี 2560 พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ที่ขับเคลื่อนมาจากกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ ธนาคารพาณิชย์ ตรงข้ามกลุ่มสื่อสารที่ยังกดดันตลาดกล่าวคือ
กลุ่มพลังงาน (สัดส่วนราว 23% ของกำไรตลาดฯ) กำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษ) เติบโตในอัตรา 9% YoY กำหนดสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 55 เหรียญฯ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจาก 45 เหรียญฯ/บาร์เรลในปี 2559 นำโดย PTTEP, PTT, IRPC รวมทั้ง BANPU
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (สัดส่วนราว 21% ของกำไรตลาดฯ) คาดกำไรปี 2560 เติบโต 7% กำหนด Loan Growth 5.88% และ NIM อยู่ที่ 3.09% ขณะที่การตั้งสำรองหนี้สูญใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา นำโดย BBL, TCAP, KKP และ TISCO
กลุ่มปิโตรเคมี (5% ของกำไรตลาดฯ) กำไรจากการดำเนินงานปกติคาดว่าน่าจะเติบโตกว่า 10% แต่หากพิจารณากำไรสุทธิโดยคำนึงถึง รายการพิเศษ พบว่าจะเติบโตเล็กน้อยราว 1% ซึ่งหลัก ๆมาจาก IVL จะหดตัวกว่า 20% เพราะไม่มีรายการพิเศษ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานจะเติบโต 19% ซึ่งมาจาก spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (PET และ เส้นใยโพลีเอสเตอร์) มีทรงตัวในระดับสูง และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานการผลิตในสหรัฐ และ รับรู้ผลการดำเนินงานของกิจการที่ซื้อในต่างประเทศ ส่วน PTTGC น่าจะเติบโตในอัตรา 11% ซึ่งเกิดจาก Spread ที่ทรงตัวในระดับสูง และเป็นผลดีจากการทำธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจร คือตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลาย ในสายโอเลฟินส์ และผลจากปรับโครงสร้างธุรกิจโดยเข้าซื้อกิจการปิโตรเคมีจาก PTT อีก 6 แห่ง เพื่อปรับตัวเองเป็น Flag ship ทางด้านปิโตรเคมีในประเทศ ไทย น่าจะหนุนการเติบโตในปี 2561 ในราวเกือบ 20% เป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มปิโตรเคมี
กลุ่ม ICT (6% ของกำไรตลาดฯ) คาดกำไรปี 2560 จะหดตัวในอัตรา 11% YoY ยังคงได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าใบอนุญาต การลงทุนโครงข่าย และการแข่งขันที่รุนแรง
ส่วนกลุ่มที่เหลือคาดว่ามีอัตราการเติบโตของกำไรต่ำกว่าได้ ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (7% ของกำไรตลาดฯ) คาดกำไรกลุ่มเติบโตราว 5% YoY แต่ส่วนใหญ่มาจากกำไรของ SCC ซึ่งคาดว่าปี 2560 จะทรงตัวจากปี 2559 ตามมาด้วย กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (7% ของกำไรตลาดฯ) ประเมินกำไรเติบโต 10% YoY ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการโอนฯ Backlog ที่มีอยู่ (รวมโครงการ JV) และยอดขายใหม่แนวราบ ซึ่งยังมีความเสี่ยงเรื่อง Presale อย่างไรก็ตามหุ้นเด่น ได้แก่ ANAN, AP, SPALI , ILH,
ยกเว้น กลุ่มค้าปลีก (6.5% ของกำไรตลาดฯ) คาดกำไรเติบโต 22% ตามการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยหันมาเน้นสินค้า high margin และ house band มากขึ้น (ROBINS, HMPRO) และการขยายสาขาใหม่ COM7 หรือ การควบรวมกิจการกับ BIGC ในกรณีของ BJC
ล่าสุด COM7(FV@14) รายงานงวด 4Q59 กำไรสุทธิ 146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%yoy 61%qoq ทั้งปี 405 ล้านบาท เติบโต 51% แต่ยังเป็นไปตามประมาณการ พร้อมประกาศเข้าซื้อกิจการ BKK เดือน พ.ย. 2559 รวม 44 สาขา (ใช้เงิน 184 ล้านบาท ใช้เงินทุนจากภายในกิจการหรือ Cash Flow From Operation (CFO) 311 ล้านบาทในปี 2559 ทั้งนี้ไม่รวมเงินสดในมือ 710 ล้านบาท บริษัทมี Gearing ratio 0.5 เท่า) วัตถุประสงค์การซื้อ เพื่อขายมือถือ tablet และ อุปกรณ์ เชื่อมต่อที่มิใช้ผลิตภัณฑ์ Apple เมื่อรวมกับสาขาที่มีอยู่ 325 สาขา (ของ TRUE shop 44 สาขา) รวมเป็น 369 สาขา ซึ่งในปี 2560 มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มประมาณการเพิ่มขึ้นรวมถึง Fair Value ทั้งรอการประชุมนักวิเคราะห์ และจะ update อีกครั้งหนึ่ง
(0) เงินปันผลในปี 2560 มีแนวโน้มลดลงในลักษณะเดียวกับ 2H59
ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าการรายงานงบ 4Q59 จะเสร็จสิ้นลงภายในสิ้นเดือนนี้ และหลังจากนี้บริษัทจดทะเบียนจะประกาศจ่ายเงินปันผลตามมา โดยคาดว่าจะทยอยขึ้น XD (สิทธิได้รับเงินปันผล) และจ่ายเงินปันผล ช่วง มี.ค.- พ.ค. 2560 (สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 2H59 หรือปี 2559) แต่เป็นที่สังเกตว่าการจ่ายเงินปันผลในช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไปคือ
1. เปลี่ยนการจ่ายเงินปันผลจากที่เป็นเงินสด เป็นหุ้นแทน เช่น ธุรกิจเช่าซื้อ-ลิสซิ่ง-แฟคตอริ่ง คือ IFS, SAWAD, LIT; กลุ่มค้าปลีก คือ GLOBAL อัตราส่วน 2หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ และจ่ายปันผลเงินสด 0.165555555554 บาทต่อหุ้น (ค่าภาษี) กำหนด XD 16 มี.ค. 2560) ทั้งนี้แม้ปัจจุบันจะมี Gearing Ratio เพียง 0.48 เท่า แต่น่าจะเป็นเพิ่มสภาพคล่องกับหุ้น GLOBAL และกลุ่มสื่อสาร คือ JMART รายละเอียดหุ้นปันผลทั้งหมดกล่าววใน Market Talk วานนี้
2. ลดอัตราการจ่ายเงินปันผล หรือยกเลิกการจ่ายเงินปันผล ที่เห็นแล้วคือ กลุ่มสื่อสาร คือ ADVANC ลด payout ratio และมีผลทำให้ INTUCH ลดการจ่ายเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้นใน ADVANC และ DTAC งดการจ่ายเงินปันผล เพราะประสบภาวะขาดทุน และ กลุ่มถัดมาที่มีโอกาสงดจ่ายปันผลคือ กลุ่มบันเทิง
ทั้งนี้แม้ว่ากลุ่มบันเทิง ยังประกาศงบงวด 4Q59 ไม่ครบ แต่ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกรายน่าจะประสบผลขาดทุนจากการดำเนินงานในงวด 4Q59 เพราะมีช่วงการไว้อาลัย 1 เดือน และผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง ขณะที่ต้นทุนใบอนุญาตทีวีดิจิตอลยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร็วกว่ารายได้ ทั้งนี้ยกเว้น ธุรกิจโรงภาพยนตร์ และสื่อนอกบ้าน อย่าง MAJOR และ PLANB ที่ยังคงมีกำไรสุทธิ แม้จะลดลงกว่า 72% และ 50% จากงวดก่อนหน้าตามลำดับก็ตาม
ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลที่ประกาศงบฯ คือ MONO พบว่า ขาดทุนถึง 193 ล้านบาทในงวด 4Q59 ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 249.5 ล้านบาท ตามด้วย AMARIN ขาดทุน 159 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ขาดทุนสุทธิมากถึง 628.1 ล้านบาท
และ RS (FV@B<span< a=""> lang="TH">9.3) รายงานงบงวด 4Q59 ขาดทุน 63 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 2559 ขาดทุนสุทธิ 102.2 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าที่คาดว่าจะขาดทุนเกือบ 200 ล้านบาท ซึ่งเกิดในงวด 2Q59-4Q59 แม้ธุรกิจทีวีดิจิตอลช่อง 8 สามารถขึ้นค่าโฆษณารายการกีฬามวยและข่าว (ขึ้นค่าโฆษณาได้จนปัจจุบันเฉลี่ยราว 2.5 หมื่นบาทต่อนาที) แต่ถูกกดดันจากธุรกิจความงามที่ลงทุนด้านโฆษณาสูง แต่ในปี 2560 ได้ตัดลดงบโฆษณาลงจากปี 2560 จึงน่าจะกลับมามีกำไรนับจาก 1Q60
ขณะที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลรายอื่นๆ คาดการณ์ผลประกอบการ ดังนี้
BEC (FV@B<span< a=""> lang="TH">20) คาดว่างวด 4Q59 น่าจะขาดทุน ปัจจุบันให้บริการโทรทัศน์ดิจิตอลช่อง HD33 (จ่ายค่าใบอนุญาต 4% โดย 2% แรกจ่ายให้ กสทช. และอีก 2% ให้ USO) คู่ขนานกับอนาล็อกเดิม (จ่ายค่าสัมปทานเป็นขั้นบันไดปีละ 200-240 ล้านบาทต่อปี จะหมดอายุ มี.ค. ปี 2563) ซึ่งส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ ยังมาจากทีวีอนาล็อก (ประมาณราว 15% ส่วนทีวีดิจิตอลอีก 2 ช่องคือ ช่อง 3 Family และ ช่อง 3SD ยังมีส่วนแบ่งตลาดน้อยมากๆ) ทำให้คาดว่าอาจจะจ่ายเงินปันผลในงวด 2H59 น้อยมากหรือไม่จ่าย หลังจากงวด 1H59 จ่ายแล้ว 0.45 บาท (นักวิเคราะห์ ASPS ประเมินไว้ที่ 0.51 บาทต่อหุ้นในปี 2559) เทียบกับ 1.4 บาทต่อหุ้นในปี 2559 และ 2 บาทในปี 2558
MCOT (FV@B<span< a=""> lang="TH">8.6) เข้าสู่ภาวะขาดทุนติดต่อมาหลายไตรมาสนับจากปี 2558 เพราะเรตติ้งหายไป หลังจากที่ content หายไป เพราะผู้จัดทำสามารถนำไปออกอากาศได้เองหลังประมูลทีวีดิจิตอล และในระยะยาวรายได้จะหายไปตามสัญญาที่จะหมดอายุของ BEC และ TRUE Vision (ปี 2563) ซึ่งขณะนี้ได้ทยอยโอนลูกค้าไปยังใบอนุญาตฯ จึงไม่น่าจะจ่ายปันผลสำหรับปี 2559 (งวด 1H59 งดจ่าย) แต่ MCOT มีทรัพย์สินที่มีค่า คือ ที่ดิน 100 ไร่ ด้านหลังศูนย์วัฒนธรรมฯ น่าจะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุน และ คลื่น 2600 MHz (คลื่นสั้นเหมาะสำหรับส่งข้อมูลได้ดีกว่าคลื่นยาว) สามารถนำไปประมูล 4G แต่ยังติดขั้นตอนกฎหมาย อาจจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
WORK (FV@B<span< a=""> lang="TH">58) คาดงวด 4Q59 ขาดทุนตามภาพรวมธุรกิจ และทำให้คาดว่าปี 2559 ยังมีกำไรแม้จะเล็กน้อย แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมากในปี 2560 โดยคาดว่าจะมีกำไร 499 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 627 ล้านบาท ในปี 2561เพราะเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ 2 วันแรกของเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นเป็นอันดับ 1 ในกทม. และปริมณฑล (อันดับ 2 ทั่วประเทศ) แซงหน้าช่อง 3 เป็นครั้งแรก เพราะรายการที่ฮิตติดตลาดคือ รายการวาไรตี้ The Mask Singer ทำให้ค่าโฆษณาเฉลี่ยงวด 1Q60 อยู่ที่ 5.8 หมื่นบาทต่อนาที เพิ่มจากปี 2559 ที่ 5.1 หมื่นบาทต่อนาที และมีผู้จองโฆษณาแล้วทั้งปี 2560 โดยคาดว่า utilization rate จะเพิ่มขึ้นจาก 35-40% ในงวด 4Q59-1Q60 เป็น 75% ในงวด 2Q60 แต่คาดว่าการจ่ายปันผลยังน้อย เพราะธุรกิจยังอยู่ในช่วงของการเติบโต
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์