- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 February 2017 17:52
- Hits: 2394
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ตามตลาดต่างประเทศ? คาดมีโอกาสปรับขึ้นหลังดัชนีปรับลดลงวานนี้ และคาดเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยหนุนจากความคาดหวังในเชิงบวก ต่อแผนปรับลดภาษี (ทั้งเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล) ของ ปธน.สหรัฐฯ ที่คาดจะมีการเปิดเผยรายละเอียดในวันที่กล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส (28/2/60) พร้อมงบประมาณใช้จ่ายโครงการสาธารณูปโภค ที่คาดช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน และคาดส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมถึงเป็น Sentiment ที่ดีต่อเศรษฐกิจ
ทั่วโลก
ขณะที่แนะติดตามการประชุมของเฟด (14 – 15/3/60) โดยเฉพาะประเด็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลัง จนท.เฟด เริ่มส่งสัญญาณให้พิจารณาปรับขึ้น ภายใต้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นไปตามความคาดหมายของเฟด ซึ่งคาดมีผลต่อ Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทย และส่งผลต่อค่าเงินสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น คาดทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ซื้อขายเป็นเงินสหรัฐฯ มีราคาลดลง
รวมถึงในระยะกลาง มีการเลือกตั้งของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ตามลำดับ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมืองก็จะกดดันภาพรวมตลาดในระยะต่อไป
ทางด้านราคาน้ำมัน คาดในระยะสั้นยังมีความผันผวนจาก (+) แผนการปรับลดปริมาณผลิตของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้ง OPEC และ Non OPEC (-) ปริมาณผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ยังคงมีความกังวลอุปทานส่วนเกิน อย่างไรก็ตาม คาดระดับราคาน้ำมันในปี’60 อยู่ในระดับที่สูงกว่าปี’59 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 41 – 42USD ดังนั้นเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับลดลง
ทางด้านประเด็นในประเทศ ยังอยู่ในช่วงทยอยประกาศผลการดำเนินงานปี’59 คาดมีแรงเก็งกำไรต่อเนื่องถึงก.พ.’60 รวมถึงเงินปันผล โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่ผลการดำเนินงานเติบโตดี เช่น PTTGC, TOP และ SPRC เป็นต้น
ขณะที่ในระยะกลาง – ยาว ยังได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดดีขึ้นตามลำดับ ภายใต้ (1) การลงทุนของภาครัฐ ที่ได้แรงขับจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (2) รายได้เกษตรกรที่คาดปรับตัวดีขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และสถานการณ์ภัยแล้งที่ผ่อนคลายลง และ (3) การส่งออกปรับตัวดีขึ้นจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น โดย กกร. คาดส่งออกเติบโต 1.0 – 3.0% รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า
SET SET50 SET100
1,564.42 -14.05 981.03 -8.71 2,213.02 -20.03
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +118.95, NASDAQ +27.37, S&P +14.22, FTSE -25.03, CAC +23.77 และ DAX +139.87
DJIA ทำสถิติปิดระดับสูงสุดติดต่อกัน 8 วันทำการ ภายใต้ปัจจัยหนุน (1) หุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ รวมถึงวอลมาร์ท และ เมซี่ เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง (2) ความคาดหวังในเชิงบวกต่อมาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค โดยจับตาสุนทรพจน์ของ ปธน.สหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสสหรัฐ ในวันที่ 28/2/60 ซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลในวันดังกล่าว พร้อมคาดมีการเปิดเผยรายละเอียด เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณโครงการสาธารณูปโภคในวันดังกล่าวเช่นกัน
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มจาก ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการของยูโรโซน – ก.พ. อยู่ที่ 56.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เม.ย.’54 และสูงกว่าที่คาดว่าจะอยู่ที่ 54.3
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน มี.ค. +US$0.66 อยู่ที่US$54.06ต่อบาร์เรล หลังนายโมฮัมหมัด บาร์คินโด เลขาธิการโอเปก เปิดเผยว่า สมาชิกโอเปกมีความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตมากขึ้น จากข้อมูลบ่งชี้การให้ความร่วมมือในระดับสูงกว่า 90% ในเดือนม.ค. เพื่อลดปริมาณน้ำมันจำนวนมากในตลาด
ขณะที่ซิตี้ กรุ๊ป คาดว่า ราคาน้ำมันอาจแตะที่ระดับ 70 USD/บาร์เรลภายในปลายปีนี้ และคาดอุปสงค์และอุปทานปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
18.31 1.96 2.93
ที่มา : www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย (ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 44,878.82
สถาบัน -199.48
บัญชีหลักทรัพย์ -451.95
ต่างประเทศ -659.01
ในประเทศ 1,310.44
และ (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยวไทย ซึ่ง ททท. คาดว่าทั้งปี’ 60 อยู่ที่ 34 - 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 32.59 ล้านคน เมื่อปี’59 พร้อมคาดรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้น 10% จาก 1.64 ล้านบาทเมื่อปี’59
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากการเปิดขายโครงการในปี 60 ที่โดดเด่น เช่น ANAN, SPALI และ SC ในขณะที่ CPN จะได้รับประโยชน์ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น STEC, SYNTEC และ UNIQ
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
(6) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(7) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจสนามบิน เช่น AOT จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 2.43% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.08 อยู่ที่ 11.57
หุ้นแนะนำ : PTTGC
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788