- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 February 2017 19:46
- Hits: 1897
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อ/ถือต่อเมื่อ SET ไม่หลุด 1575'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BIG (จากซื้อเป็นถือ), DELTA (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ SET ปรับขึ้นต่อเล็กน้อย 1.79 จุดปิดที่ 1577.84 ต่างชาติและสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิต่อ รายย่อยนำขายสุทธิ โดยเป็นการซื้อ/ขายรายบริษัทเป็นหลัก สำหรับปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
ตลาดหุ้นสหรัฐทรงตัว..รอเวลาทรัมป์ประกาศมาตรการลดภาษีครั้งใหญ่ ราคาน้ำมันแกว่งแคบ อุปสงค์โตแต่อุปทานอาจไม่ลดลงมากนัก
+ BCP จ่ายปันผล 2H59 1 บาท/หุ้น XD 1 มี.ค.60 คิดเป็น Remaining Dividend Yield 2.8% (ราคาปิด 35 บาท) กำไรปี 60 โตต่อ 23%
+ TISCO จ่ายปันผล FY59 สูงที่ 3.5 บาท/หุ้น XD 26 เม.ย.60 คิดเป็น Dividend Yield ที่ 5.3% (ณ ราคาปิด 65.75 บาท)
+ TMT รายงานกำไรปี 59 เพิ่มขึ้น 2.8 เท่า จ่ายปันผล 1.50 บาท/หุ้นตามคาด ซึ่งให้ Yield สูงถึง 8.5% กำหนด XD 3 มี.ค.60
+ IVL ประกาศ Norm Profit +57%YoY ในปี 59 จากปริมาณขายที่เพิ่มหลังเข้าซื้อกิจการ แนวโน้มปี 60 ไปได้ดี และถ้าทรัมป์ลดอัตราภาษีธุรกิจสหรัฐลดลงครึ่งหนึ่ง อัตราภาษี IVL จะลดจาก 22% เป็น 17% และจะบวกจากกลับภาษีที่ตั้งไว้ล่วงหน้าด้วย แนะนำซื้อ TP:42 บาท
AOT จะสรุปเรื่องอัตราค่าเช่าพื้นที่สุวรรณภูมิกับกรมธนารักษ์ 21 ก.พ.นี้ ส่วนเรื่องค่าเช่าย้อนหลัง บริษัทคาดจ่ายครั้งเดียว 2 พันล้านบาทจากกำไรสะสมใน Equity ทำให้ BVS ลด 0.14 บาท/หุ้น จาก 8.85 เป็น 8.71 บาท/หุ้น
- DELTA ขาย 4 บริษัทย่อยเพื่อถือ 100% ใน Eltek SK เห็นว่าไม่น่าจะดี เพราะบริษัทนี้มีอัตรากำไรสุทธิต่ำที่ 1.75% ในปี 59 แนะนำ FV
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing ต่อเนื่อง ทั้งนี้หุ้นไทยปี 60 น่าจะผันผวนขึ้นหลังปรับขึ้นมากในปีก่อน หุ้นกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น BCP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพเป็นแค่บวกเล็กๆ ให้แนวต้าน 1585-1590, 1600 จุด ซื้อใหม่เน้นค่าบวก/อ่อนตัวมีแนวรับ 1560-1550 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SUSCO, SINGER, M, VIH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ TLUXE, PACE, TMT, ANAN, PTTGC, DTAC สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะ Take Profit คือ BPP, COMAN, TPCH หุ้นหลุด List เป็น ORI, ITEL
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ :
+ สหรัฐ : ดัชนีชี้นำศก.เดือนม.ค.ดีกว่าคาด
Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ประจำเดือนม.ค.เพิ่มที่ +0.6% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ +0.5%
สหรัฐ : ข้อมูลเศรษฐกิจที่ติดตามในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐสำคัญที่จะเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนี PMI เบื้องต้นเดือนก.พ.ในภาคการผลิตและบริการ, ยอดขายบ้านมือสอง และยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.60
- จีน : FDI เดือนม.ค.60 ลดลง 9.2%YoY
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนอยู่ที่ 8.01 หมื่นล้านหยวน (1.17 หมื่นล้านดอลลาร์) ในเดือนม.ค. -9.2%YoY จากเดือนธ.ค.ที่ +5.7%YoY ส่วนการไปลงทุนต่างประเทศ (ODI) นอกภาคการเงินของจีนก็ -35.7%YoY ในเดือนม.ค.60 เป็น 5.327 หมื่นล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐ : แกว่งแคบ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 20,624.05 จุด เพิ่มขึ้น 4.28 จุด หรือ +0.02% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,838.58 จุด เพิ่มขึ้น 23.68 จุด หรือ +0.41% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,351.16 จุด เพิ่มขึ้น 3.94 จุด หรือ +0.17% โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง แต่นักลงทุนชะลอการซื้อขายเนื่องจากมีวันหยุดยาว (จันทร์ที่ 20 ตลาดหุ้น & โภคภัณฑ์สหรัฐปิดการซื้อขายเนื่องในวันประธานาธิบดี)
สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 4 เซนต์ หรือ 0.09% ปิดที่ 53.40 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 55.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนเบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นอีก 6 แท่น สู่ระดับ 597 แท่น (ระดับต่ำสุดเท่ากับ 404 แท่น)
สัญญาทองคำ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 2.5 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ 1,239.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว สัญญาทองคำ +0.3%WoW
ปัจจัยในประเทศ :
AOT (ราคาปิด 40 บาท) : จะเข้าหารือกับกรมธนารักษ์ 21 ก.พ.นี้ คาดผลกระทบเรื่องค่าเช่าจะไม่รุนแรง
# กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ บริษัทจะเข้าหารือกับกรมธนารักษ์เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าตอบแทนในการใช้พื้นที่ราชพัสดุในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยได้มีการตกลงเบื้องต้นใช้รูปแบบการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) และหาข้อสรุปว่าจะใช้อัตราเท่าใด ซึ่งการปรับขึ้นทุกๆ 1% จะทำให้มีต้นทุนเพิ่ม 320 ล้านบาท/ปี (ปัจจุบันจ่ายที่ 5% ของรายได้)
# ส่วนกรณีที่ได้ปรับเปลี่ยนข้อตกลงในการจัดเก็บส่วนแบ่งรายได้ จากเดิมที่เก็บ 2% สำหรับท่าอากาศยานภูมิภาค ให้ปรับเป็นจัดเก็บ 5% สำหรับท่าอากาศยานภูมิภาคที่มีกำไร คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และ ท่าอากาศยานภูเก็ต และยังคงเก็บ 2% ในท่าอากาศยานภูมิภาคที่ขาดทุน คือ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานเม่ฟ้าหลวงเชียงราย ขณะที่ปัจจุบันจัดเก็บในอัตรา 5% สำหรับท่าอากาศยานในกรุงเทพ คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง ทำให้ AOT ต้องจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีหรือตั้งแต่ปี 50-59 เป็นจำนวนเงินรวม 2 พันล้านบาท นั้นจะเป็นการจ่ายครั้งเดียว โดยตัดจากกำไรสะสมในส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ซึ่งระหว่างนี้รอหนังสือจากกรมธนารักษ์ว่าจะให้จ่ายเมื่อใด
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : หากเป็นไปตามที่ผู้บริหาร AOT กล่าวไว้ข้างต้น เห็นว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าเช่าจะไม่รุนแรง และการจ่ายค่าเช่าย้อนหลังที่ 2 พันล้านบาท จะไม่กระทบงบกำไรขาดทุน และมีผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้ลดลงเพียง 0.14 บาท/หุ้น กล่าวคือ Book Value per Share (BVS) ณ สิ้นธ.ค.59 ที่ 8.85 บาท/หุ้น จะลดลงเป็น 8.71 บาท/หุ้น เรายังคงคำแนะนำซื้อ AOT โดยให้ราคาพื้นฐาน 45.50 บาท และในการวิเคราะห์ Sensitivity โดยมีสมมติฐานให้อัตราค่าเช่าสนามบินสุวรรณภูมิเพิ่มจาก 5% เป็น 7% ที่ดอนเมืองคงไว้ที่ 5% และสนามบินภูมิภาคเพิ่มจาก 2% เป็น 5% ยกเว้นสนามบินที่ขาดทุนคงไว้ที่ 2% พบว่าประมาณการกำไรจะลดลง 3% ต่อปี และราคาพื้นฐานจะลดลง 1.80 บาท/หุ้นเป็น 43.70 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]