- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 09 February 2017 18:01
- Hits: 8993
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
เลี่ยงความเสี่ยง
คาดหุ้นไทยวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ตลาดการเงินทั่วโลกยังคงอยู่ในภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความกังวลต่อความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้นของการเมืองในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งในฝรั่งเศส สะท้อนจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลังสหรัฐสู่จุดต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์ การแข็งค่าขึ้นของเงินเยน และราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้น ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ไม่ค่อยมีผลเท่าใด แต่จุดน่าสนใจอยู่ที่กระทรวงการคลังจะออกกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (TFF) เพื่อการก่อสร้างทางด่วนเพิ่มที่จะออกมาในไตรมาส 2/60 ที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนสูงถึง 7-8% ต่อปี
หุ้นเด่นวันนี้ : TASCO (25.25 บาท; ซื้อ, AWS TP 28.00 บาท)
TASCO มีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเราคาดว่าโครงการถนนของรัฐบาลกำลังเตรียมเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ โดยมีอัตราการเบิกจ่ายมากกว่า 40% ของงบประมาณการลงทุนหลังจากนั้นเพียงสี่เดือนของปีงบประมาณ 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติงบประมาณราว 40,000-60,000 ล้านบาท สำหรับการซ่อมแซมถนนหลังน้ำท่วมในภาคใต้ของไทย นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่ชัดเจนของรัฐบาลจีน เวียดนาม และอินโดนีเซียที่คาดว่าจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐด้วยการสร้างและซ่อมแซมถนน TASCO มียอดขาย 75% ของรายได้รวม และ 25% จากตลาดภายในประเทศ เราเชื่อว่าผลประกอบการของ TASCO แล้วจุดต่ำสุดใน 3Q59 และเราคาดว่าผลประกอบการ 4Q59 อยู่ที่ 911 ล้านบาท ลดลง 23% YoY แต่เพิ่มขึ้น 177% QoQ เราคาดว่าผลประกอบการจะลดลง 39% สำหรับปี 2559 แต่เพิ่มขึ้น 14.9% ในปี 2560 และเพิ่มขึ้น 13.7% ในปี 2561 นอกจากนี้เรายังคาดว่าน้ำมันดิบจะทรงตัวในระดับราคาปัจจุบันอย่างน้อยในระยะกลางซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมาก TASCO เพราะเป็นน้ำมันดิบ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของวัตถุดิบการผลิตยางมะตอย ในขณะที่วงจรขาขึ้นของผลิตภัณฑ์ยางมะตอยน่าจะมีแนวโน้มฟื้นกลับมาหลังจากจบขาลงในปี 2559 ไปแล้ว เราคงคำแนะนำซื้อด้วยราคาเป้าหมาย 28.00 บาท อิงค่า PER ที่ 12.2 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย PER ของภาควัสดุก่อสร้างที่เป็นคอมมอดิตี้ Price Pattern ของ TASCO มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยหากปิดตลาดรายเดือนได้เหนือ 27.25 บาท ก็จะทำให้กลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ซึ่งจะรยืนยันการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลักจากขาลง (Downtrend) ไปสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ทันที โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 26.25 บาท ซึ่งหากแข็งแกร่งมากพอ โดยสามารถ Break ด้วยการปิดตลาดเหนือ 26.25 บาทไปได้ เป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 29.50 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 32.75 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ TASCO มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 22.50 บาท (Resistance: 25.50, 25.75, 26.00; Support: 24.90, 24.60, 24.40)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
คงดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ธปท. ระบุว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วกว่าคาดหนุนโดยการฟื้นตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดียังมีความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายสหรัฐ (Bangkok Post) ความเห็น: สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเราและค่าเฉลี่ย
การเลือกตั้งเลื่อนไปปีหน้า รองนายก วิษณุ เครืองาม ระบุว่าจะเลื่อนการเลือกตั้งไปอีกเป็น ก.พ.ปีหน้าจากปีนี้ อย่างไรก็ดียังไม่ยืนยันตารางที่แน่ชัด (Bangkok Post)
BOI อนุมัติเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจลงทุนเทคโนโลยี ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Bol) เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ประเทศไทย 4.0 และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดย Bol อนุมัติให้เพิ่มระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปี จากเดิม 8 ปี สำหรับธุรกิจที่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป้าหมาย 4 กลุ่มและเทคโนโลยีเป้าหมายในกิจการบริการ (Enabling Services) และสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการได้อีก 1-3 ปี รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี นอกจากนี้ยังเห็นชอบการยกเว้นอากรนำเข้าเพื่อนำมาใช้ในการวิจัยและพัฒนา และการเพิ่มการหักภาษีจากค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนาสำหรับภาคธุรกิจทั่วไปเป็น 300% จากเดิม 200% (Bangkok Post/ The Nation)
TFF จะเริ่มซื้อขายในไตรมาสสองนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. คลัง เผย Thailand Future Fund หน่วยแรกที่จะใช้ระดมทุนเพิ่อลงทุนก่อสร้างโครงการทางด่วนช่วงพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอก มูลค่าราว 4.0-5.0 หมื่นลบ. นั้นจะยื่น Filing กับก.ล.ต. ในเดือนมี.ค. และจะเริ่มซื้อขายหน่วยลงทุนได้ภายในไตรมาสสองปีนี้ รมว.คลังคาดจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนราว 7-8% ต่อปี (Bangkok Post)
STEC (26.50 บาท) ประกาศกำไรสุทธิ 1.38 พันล้านบาทปี 2559 แม้จะสอดคล้องกับที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.42 พันล้านบาท แต่กำไรสุทธิใน 4Q16 มีการบันทึกการรับรู้กำไรพิเศษจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 596 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานแท้จริงมีเพียง 74 ล้านบาท (SET)ความเห็น ถึงแม้เราจะแนะนำซื้อ STEC แต่ผลประกอบการที่ออกมาถือว่าน่าผิดหวังสำหรับไตรมาส 4/59 และปี 2559 คาดว่าจะทำให้เกิดผลลบจากการที่ประกาศผลการดำเนินงานแย่กว่าตลาดคาดหวังไว้ ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อปีที่แล้ว STEC ก็มีการบันทึกรายการแบบเดียวกันเข้ามา 448 ล้านบาท และทำให้ตลาดผิดหวังส่งผลให้หุ้นตกอย่างรุนแรงมาแล้ว แนะนำนักลงทุนให้ระมัดระวังการซื้อขายหุ้น STEC
ต่างประเทศ :
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์เมื่อวันพุธโดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีแตะระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 8 ธ.ค. เนื่องจากนักลงทุนหันมาลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้น 11/32 อัตราผลตอบแทนแตะอยู่ที่ระดับ 2.349% ลดลง 4 bps จากเมื่อวันอังคาร(Reuters)
เงินยูโรอ่อนค่าลงอีกเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันพุธจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงทางการเมืองที่กลับมามีผลต่อโครงการสกุลเงินเดียวส่งผลให้อ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในช่วงเกือบ 2 เดือน อย่างไรก็ตาม เงินเยนขยับขึ้นสู่ระดับ 112.20 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นความเคลื่อนไหวต่อการรับรู้ถึงความมั่นคงของญี่ปุ่นโดยชี้ไปที่การเจริญเติบโตท่ามกลางความเสี่ยงทางการเมืองของโลกและการดำรงตำแหน่งประธานธิบดีของทรัมป์ซึ่งมีอิทธิพลต่อโลกในช่วงที่ผ่านมา (Reuters)
การขยายตัวทางเศรษฐกิจดูกระเตื้องขึ้นในสหรัฐ ญี่ปุ่น เยอรมนีและฝรั่งเศส จากรายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อวันพุธ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (CLl) ครอบคลุมประเทศสมาชิก 33 ประเทศยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 100 อยู่ที่ 99.9 ติดต่อกัน 2 เดือน ดัชนีสำหรับสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ 99.4 ในเดือนธ.ค. จาก 99.3 ในเดือนพ.ย. ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นสู่ 100.1 จาก 100 และดัชนีของเยอรมนีปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 100.5 จาก 100.3 และดัชนีของฝรั่งเศสปรับตัวขึ้น 0.1 จุดอยู่ที่ 100.6 (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดแบบผสมเมื่อวันพุธ ดัชนี S&P500 ปิดบวกเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนรับทราบรายงานผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ที่ออกมาดีขึ้นและแย่ลง ส่วนดัชนีดาวโจนส์ปิดลบเนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสัปดาห์ ดัชนีแนสแดคปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกัน 2 วัน หนุนโดยหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างเฟซบุ๊กและแอปเปิล (Reuters)
ผู้ว่าการรัฐต่าง ๆ ส่งรายชื่อโครงการที่สามารถจ้างคนไปทำงานได้ทันที (shovel ready) จำนวน 428 โครงการที่พวกเขามองว่าต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ สำหรับแผนของประธานาธิบดีทรัมป์ในการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคของประเทศ รายชื่อโครงการดังกล่าวครอบคลุม 49 รัฐและดินแดน จากข้อมูลของ National Governors Association สิ่งที่ทรัมป์ได้สัญญาไว้ในการหาเสียงในปีที่แล้วรวมถึงคำสัญญาที่จะติดตามโครงการสาธารณูปโภคมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงานของ American Society of Engineers มีการประมาณการว่าสหรัฐต้องใช้เงินลงทุน 3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2020 (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวสูงขึ้น ด้วยแรงหนุนจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ บนความกังวลต่อสถานการณ์การเลือกตั้งในหลายๆ ประเทศในช่วงปีนี้ เริ่มจากการเลือกตั้งปธน. ฝรั่งเศสเดือนเม.ย. และต่อด้วยเยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ในช่วงที่เหลือของปี (Reuters)
2 โพลสำรวจเผยนาง Marine Le Pen ผู้นำพรรคขวาจะแพ้การเลือกตั้งปธน. ฝรั่งเศสให้กับนาย Emmanuel Macron โดยโพลสำรวจโดย Elabe เผยคะแนนเสียงของนาง Le Pen ต่อนาย Macron อยู่ที่ 37% ต่อ 63% เช่นเดียวกับโพลสำรวจโดย lfop Fiducial ที่รายงานคะแนนเสียงอยู่ที่ 36% ต่อ 64% ทั้งนี้การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 23 เม.ย. และ 7 พ.ค.(Reuters)
เอเชีย :
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรหลักของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 6.7% MoM ในเดือนธันวาคม จากลดลง 5.1% ในเดือนก่อน เป็นสัญญาณการฟื้นตัวของการใช้จ่ายเงินทุน การเพิ่มขึ้นในการสั่งซื้อหลักเป็นตัวบ่งชี้ของการใช้จ่ายเงินทุนในอีกหกถึงเก้าเดือนข้างหน้า โดยการเติบโตนี้มากกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่าเพิ่มเพียง 3.1% สำนักงานรัฐมนตรีคาดคำสั่งหลักจะเพิ่มขึ้น 3.3% QoQ ในไตรมาส 1/60 หลังจากที่ลดลง 0.2% QoQ ในไตรมาส 4/59 ซึ่งคำสั่งซื้อหลักขยายตัว 6.7% YoY ในเดือนธันวาคม(Reuters)
อาเบะหวังทรัมป์ลดความร้อนแรงเรื่องการค้าและสกุลเงิน: นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น อาเบะไปเยือนกรุงวอชิงตันในวันพฤหัสบดีนี้ หวังจะช่วยสร้างงานในสหรัฐฯ และหนุนด้านการทหารญี่ปุ่น โดยจะชักชวนให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงการให้ความเห็นที่ร้อนแรงในเรื่องการค้าและสกุลเงิน คงความเป็นพันธมิตรที่มีมานานหลายสิบปีไว้(Reuters)
จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 37.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาส 4/59 และการขาดดุล 37.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯด้านบัญชีทุนและบัญชีการเงิน ข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานรัฐด้านการบริหารแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (SAFE) ยังแสดงให้เห็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 210.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และการขาดดุล 47.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในดุลบัญชีทุนและบัญชีการเงินในปี 2559 อีกด้วย (Reuters)
หุ้นจีนปรับตัวลดลงในวันพุธ หลังจากที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงต่ำกว่าระดับ 3.0 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบางอยู่แล้วท่ามกลางสัญญาณจากธนาคารกลางที่ยังกังวลเงินทุนไหลออกจากต่อไป ทำให้ตลาดเกิดใหม่น่าสนใจน้อยลง แม้ว่าจะมีค่าเงินเหรียญสหรัฐฯจะแข็งค่า (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันดิบในสหรัฐเพิ่มขึ้นวันพุธ เพราะเพราะนักลงทุนปิดสถานะชอร์ตเมื่อสต็อกน้ำมันสหรัฐไม่ได้เพิ่มมากมายอย่างที่กลัวกันและจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเบนซินถูกหนุนโดยการลดลงของสต็อกเบนซิน น้ำมันดิบ Brent บวก 7 เซนต์หรือ 0.13% ปิด 55.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐบวก 17 เซนต์ (0.33%) ปิด 52.34 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 13.8 ล้านบาร์เรลรายสัปดาห์สิ้นสุด 3 ก.พ. ElA ระบุว่าเป็นเพราะโรงกลั่นลดการผลิตขณะที่สต็อกเบนซินลดลง สต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มไม่ได้ช็อคตลาด เพราะตัวเลขเบื้องต้นของสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกาในช่วงท้ายวันอังคารยังมากกว่านี้ด้วยซ้ำ (Reuters)
ราคาทองคำวิ่งขึ้นวันพุธ ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบสามเดือนเพราะความเสี่ยงทางการเมืองจากการเลือกตั้งในยุโรปและความกังวลต่อนโยบายของ Donald Trump ทำให้เกิดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคาตลาดจรปิดบวก 0.7% ที่ 1,241.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ช่วงก่อนหน้าแตะจุดสูงสุดนับแต่ 11 พ.ย. ที่ 1,244.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ด้วย (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094