- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 February 2017 17:41
- Hits: 1330
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET Index อาจจะได้รับ sentiment เชิงบวกจากหุ้นธนาคารพาณิชย์ ตามการผ่อนปรน Dodd-Frank Act ของสหรัฐ แต่แรงขายรับงบงวด 4Q59 ยังมีอยู่ในหุ้นรายตัว กลยุทธ์ยังเลือกหุ้นที่มั่นใจกำไร และจ่ายเงินปันผลได้อย่างยั่งยืน (ASK, PTTGC, SCCC, TCAP, LH) วันนี้เลือก SCB(FV@B178), TSTH([email protected]) เป็น Top picks
(0) หุ้น ธ.พ. สหรัฐ บวก จากการผ่อนคลายเกณฑ์ และการขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน พบว่ายอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Non Farm payrolls) ใน ม.ค.60 เพิ่มขึ้น 45.5%mom ดีกว่าตลาดคาด (2.27 แสนราย) แม้จะสวนทางกับอัตราการว่างงาน ในเดือนเดียวกันที่ปรับเพิ่มเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 4.8% จาก 4.7% ในเดือน ธ.ค.59 แต่เป็นเพราะมีการปลดแรงงานภาครัฐ ราว 1 หมื่นราย เช่นเดียวกับดัชนีฝั่งภาคการผลิตมีทิศทางขยายตัว คือ คำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานเดือน ธ.ค.59 ขยายตัวมากกว่าตลาดคาดที่ 1.3%yoy จากที่ -2.4%ในเดือน พ.ย.59 และเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 2.1% (สูงกว่าเป้าที่ Fed วางไว้) ด้วยปัจจัยทั้งหมด หนุน Fed มั่นใจขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวดีต่อหุ้นธนาคารพาณิชย์ ในการเพิ่ม Spread แล้ว การที่นายทรัมป์ฯ เดินหน้าที่จะให้ทบทวนหลักเกณฑ์การควบคุมการทำธุรกรรมของธนาคารพาณิชย์ ที่อยู่ภายใต้ “Dodd-Frank-Act” ซึ่งเป็นกฏหมายที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดวิกฤติการเงินในปี 2551 โดยที่กฎหมายดังกล่าว กำหนดให้ธนาคารแต่ละแห่งลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง (สินเชื่อ เงินลงทุน และตราสารทางการเงินอื่นๆ) ไม่เกิน 5 หมื่นล้านเหรียญฯ ซึ่งลดลงจากที่เคยแตะระดับสูง 1.25 แสนล้านเหรียญในช่วงก่อนวิกฤติปี 2551 ซึ่งเป็นผลให้ต้นทุนทางการเงิน (การตั้งสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้น หากเพิ่มการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง เกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ) และเป็นอุปสรรคต่อผู้บริโภคในการเข้าถึงสินเชื่อ
ทั้ง 2 ปัจจัย หนุนหุ้นธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในวันศุกร์ (เทียบกับหุ้นพลังงานของสหรัฐที่ขึ้น 0.8% และ S&P500 ขึ้น 0.73%) ประเด็นนี้สร้าง sentiment เชิงบวกต่อหุ้นธนาคารพาณิชย์ แม้การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อหุ้นไทยโดยตรง แต่การที่ดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในภาวะขาขึ้น มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดเงินระยะสั้นในเอเซียมีแนวโน้มขยับขึ้นตั้งแต่ช่วง 2H59 ซึ่งจะหนุนให้ Spead ของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัวถึงปรับขึ้นเช่นกัน
ขณะที่ไทย วันที่ 8 ก.พ. การประชุม กนง. ครั้งแรกของปีนี้ คาดว่ายังคงยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามเดิม (ระดับนี้ติดต่อกันตั้งแต่ เม.ย.58) แม้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ใน ม.ค.60 มาอยู่ที่ 1.55% yoy จาก 1.1% ในเดือนก่อนหน้า และหากใกล้ 2% อาจจะทำให้ กนง. ต้องกลับเริ่มทบทวนนโยบายการเงิน จากปัจจุบันที่ใช้นโยบายการเงินผ่อน และน่าจะเริ่มมีการขยับขึ้นดอกเบี้ยช่วงครึ่งหลังของปีนี้
(0) กลยุทธ์เน้นรายหุ้น : TSTH หุ้น Turnaround ตัวจริง
ยังเป็นช่วงของการรายงานงบงวด 4Q59 มีทั้งดีกว่าคาด (TSTH) และ ผิดหวัง (ADVANC) กล่าวคือ TSTH (ซื้อ:[email protected]) 3Q59/60 (ต.ค.-ธ.ค. 59) มีกำไรสุทธิ 229 ล้านบาท Turnaround YoY และเพิ่มขึ้น 19% QoQ โดยได้รับอานิสงค์บวกจากราคาเหล็กเส้นเฉลี่ยที่ขยับขึ้น 4% QoQ เป็น 1.53 หมื่นบาท/ตัน ตามทิศทางราคาเหล็กโลกที่ฟื้นตัว อีกทั้ง TSTH มีการบริหารต้นทุนได้ดีมาก และได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมไฟฟ้า (EAF) ที่ใช้เศษเหล็กเป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งราคาไม่ได้ปรับขึ้นมากเท่ากับราคาขาย ส่งผลดีต่อ Metal Spread และหนุน Gross Margin ทำได้ในเกณฑ์ดีมากที่ 10.4%
สถานการณ์ราคาเหล็กเส้นข้ออ้อย SD30 เดือน ม.ค. 60 ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 1.75 หมื่นบาท/ตัน เทียบกับ 1.6 หมื่นบาท/ตันในเดือน ธ.ค. 59 ทำให้ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มกำไรงวด 4Q59/60 (ม.ค.-มี.ค. 60) และปรับประมาณการปี 2559/60 ขึ้นจากเดิม 32% เป็น 837 ล้านบาท เติบโตถึง 4.4 เท่าตัว YoY ส่วนแนวโน้มปี 2560/61 เชื่อว่าปริมาณขายเหล็กจะเติบโตต่อเนื่อง 6.7% YoY เป็น 1.3 ล้านตัน ตามการลงทุนภาครัฐจำนวนมาก แต่ส่วนที่ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะทำได้ดีกว่าคาดมากคือเรื่องราคาขายและ Gross Margin หลังแนวโน้มราคาเหล็กปี 2560/61 มีเสถียรภาพมากขึ้น จึงปรับสมมติฐานราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% และ Gross Margin ขึ้น 2.5% ซึ่งกระทบต่อคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2560/61 ดีขึ้นมาก 127% เป็น 846 ล้านบาท
ปัจจุบันฐานะการเงินของ TSTH แข็งแกร่งขึ้นมาก หลังชำระคืนหนี้สินระยะยาวจนหมดสิ้น และมี Interest Bearing Debt เพียง 0.26 เท่า เมื่อประกอบกับผลประกอบการที่สามารถกลับมาทำกำไรได้ต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายวิจัยมองว่ามีโอกาสสูงมากที่ TSTH จะพิจารณานำส่วนเกินมูลค่าหุ้นสามัญที่มีอยู่ 3.26 พันล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ปัจจุบัน 2.95 พันล้านบาท ภายในปีนี้ เพื่อที่จะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้งในรอบ 10 ปี (เพื่อยึดหลักอนุรักษ์นิยม ฝ่ายวิจัยไม่ได้รวมประเด็นการกลับมาจ่ายเงินปันผลไว้ในประมาณการ) ส่วนมูลค่าพื้นฐานประเมินโดยอิง PER 14x ได้ราคาเหมาะสม 1.41 บาท ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ และเลือกเป็น Top Pick กลุ่มเหล็ก
ขณะที่ ADVANC(FV@B180) รายงานกำไร 4Q59 อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท แม้ว่าดีกว่าคาด แต่หลักๆ เกิดจากผลบวกจากการประหยัดภาษีเงินลงทุน (ตามมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนของรัฐฯ หักเป็นค่าลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินลงทุนในปี 2559 และ ปี 2560 ลดได้ 1.5 เท่า) เป็นเงินราว 835 ล้านบาท และบันทึกในงวดนี้ทั้งหมด (แต่ประโยชน์ที่จะเกิดต่อเนื่อง 4 ปีข้างหน้า) แต่หากไม่รวม กำไรปกติไปเป็นตามคาดอยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท ลดลง 12.9%qoq (-46.9%yoy) โดยแม้รายได้ค่าบริการจะเริ่มเติบโตดีขึ้น 3.2%qoq (+5.8%yoy สูงสุดในรอบ 3 ปี) แต่ยังต่ำกว่ารายจ่ายที่เข้ามามากในระยะหลัง (รับรู้ต้นทุนค่าเช่าคลื่น 2.1 GHz ไตรมาสละ 975 ล้านบาทเป็นไตรมาสแรก และ ต้นทุนที่ตามมาจากการเร่งลงทุนโครงข่าย 4G ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ) โดยรวมทั้งปี 2559 กำไรสุทธิลดลง 21.7% จากปีก่อนหน้า และปี 2560 ยังลดลงอีก 8.4% ตามการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่ยังเพิ่มขึ้น
พัฒนาการที่สำคัญจากนี้ คือการต่อยอดรายได้รูปแบบใหม่ๆ ที่เผชิญการแข่งขันต่ำกว่ารายได้รูปแบบเดิมๆ (เสียงและข้อมูล) เพื่อมาชดเชยต้นทุน ซึ่ง ADVANC ถือเป็นผู้ที่มีความพร้อมมากสุดในปัจจุบัน จากจุดเด่น 1) มีบริการอินเตอร์เนตมือถือและบ้าน ตอบสนองความต้องการเชื่อมต่อตลอดเวลา 2) ร่วมกับพันธมิตรต่างอุตสาหกรรมพัฒนาดิจิทัล คอนเท้นท์ต่างๆ ที่คาดมีบทบาทกับชีวิตผู้บริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นพัฒนาการดังกล่าวยังน่าจะค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับ จุดเด่นผลตอบแทนเงินปันผลแต่ละปีที่คาดหวังได้ลดลงเหลือราว 4% ภายหลังทางบริษัทปรับลดอัตราจ่ายเงินปันผลปีนี้ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ 80% โดยเหลือ 70% (จากเดิม 100%) เชื่อว่าบั่นทอนเสน่ห์การลงทุน ADVANC ต่ำลง เมื่อเทียบกับทางเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
(-) หุ้นพลังงานทางเลือกเผชิญปัญหาระยะสั้น
กระแสข่าวสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เตรียมยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีมาตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลักเกณฑ์ของที่ดิน ส.ป.ก. คือ ที่ดินที่รัฐยกให้เกษตรกรผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองได้เช่าซื้อหรือเช่าเข้าทำประโยชน์ เพื่อเป็นที่ดินทำกิน แต่กลับพบว่าที่ดิน ส.ป.ก. หลายแห่งมีการทำการเกษตรเพียงบางส่วน และไม่มีผู้แสดงสิทธิ์ครอบครอง หรือปล่อยให้นายทุนเข้ามาเช่าหรือครอบครองต่อ ซึ่งไม่ชอบด้วยกฏหมาย ทาง ส.ป.ก. จึงต้องดำเนินการทบทวนใหม่ โดยจะการนำร่องที่ จ.ชัยภูมิ เป็นแห่งแรก และเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดสั่งพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางให้ยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ไปติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าของบริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม จำกัด เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ต้องสร้างประโยชน์ต่อเกษตรกรโดยตรง แต่โครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้ามีวัตถุประสงค์แสวงหากำไร ซึ่งประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลต่ออุตสาหกรรมโรงไฟฟ้าพลังงานลมบริษัทอื่นๆ เนื่องจากพื้นที่ตั้งส่วนใหญ่ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะตั้งอยู่ในพื้นที่ของ ส.ป.ก. ซึ่งเป็นการเช่าพื้นที่จากภาครัฐ โดยนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานทดแทน ได้รวบรวมโครงการและสถานที่ตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัททั้งที่จดทะเบียนในตลาดฯ และนอกตลาดฯ ดังตารางด้านล่าง
ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียน ทีมีที่ตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมดังกล่าว ปรากฏตารางข้างล่าว อาจจะส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยา แม้ว่าขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบก็ตาม ได้แก่ EA (switch : FV@B26) ที่มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน จ.ชัยภูมิ ถึง 260 MW และ EGCO (buy : FV@B230) มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2 โครงการใน จ.ชัยภูมิ รวม 97.5 MW
ขณะที่โรงไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ถูกตรวจสอบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา คือ DEMCO, RATCH จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อน
(-) ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค รวมถึงไทย
วันศุกร์ที่ผ่านมา ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 256 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) แต่ยังคงมีตลาดหุ้นอยู่ 2 แห่งที่ถูกซื้อสุทธิ คือ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกซื้อสุทธิราว 26 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และฟิลิปปินส์ 1 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 3 แห่ง ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิราว 176 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 86 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) และไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 21 ล้านเหรียญ หรือ 729 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิราว 1.5 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 1.8 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 3.7 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมเท่ากับ 2.57 หมื่นล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์