- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 31 January 2017 18:19
- Hits: 1910
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'SET ยังเหนือ 1580…เลือกซื้อ/ถือต่อ'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index ปิดทรงตัวที่ 1590.56 จุด โดยมีการเลือกซื้อหุ้นรายตัวกระจายไปในกลุ่มต่างๆ ซึ่งอิงกับผลประกอบการปี 59 และแนวโน้มกำไรปี 60 และก็มีขายทำกำไรตามรอบในหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมาพอควรแล้ว รวมทั้งรอดูผลประชุมเฟด & ถ้อยแถลงเพื่อจับทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ นักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อ/ขายสุทธิไม่มาก สำหรับปัจจัยสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่
จับตาผลประชุมเฟด 31 ม.ค.-1 ก.พ. นักวิเคราะห์คาดเฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่น่าจะปรับขึ้นในการประชุมเดือนมี.ค.หรือมิ.ย.60
/+ ติดตามนโยบายทรัมป์ โดยเฉพาะการลดภาษีรายได้ภาคธุรกิจจากปัจจุบันที่ 35% ซึ่งจะเป็น Catalyst ต่อไปของตลาดหุ้นสหรัฐ
/- ราคาน้ำมันดิบแกว่งแคบ เพราะกังวลสหรัฐกลับมาผลิตเพิ่ม ซึ่งเป็นอุปสรรคของการลดปริมาณผลิตกลุ่มใน & นอกโอเปก
สศค.ปรับเพิ่ม GDP Growth ปี 60 ของไทยเป็น +3.6% (ช่วงคาดการณ์ 3.1%-4.1%) จากเดิม +3.4%
+ ภาคท่องเที่ยวยังไปได้ดี ททท.คาดรายได้ท่องเที่ยวปี 60 จะเติบโตได้ 10% … หุ้น Top Pick เป็น AOT (ราคาพื้นฐาน 455 บาท)
- กลุ่มสื่อสารเผชิญการแข่งขันสูง & มีค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาต 4G กดดันผลประกอบการทั้งในปี 59 และ ปี 60 และทำให้การจ่ายปันผลลดลง เชิงกลยุทธ์ให้น้ำหนักลงทุนเป็น Underweight
/+ บจ.ทยอยรายงานผลประกอบการ 4Q59 และปี 59 รวมถึงการประกาศจ่ายปันผล ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดเดือนก.พ.
จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancing ต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มผันผวน ความเสี่ยง FX มากขึ้น และเริ่มต้นปีบน Index ที่สูง หุ้นพื้นฐานแนะนำเป็น WICE
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณยังเป็นกลางๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก สำหรับการเทรดดิ้งมีฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด 1580 จุด แนวต้านระยะสั้น 1600, 1610-1620 จุด แนวรับกรณีหลุดแนวฟิวเตอร์ 1560-1550 จุด หุ้นเทคนิคเด่น ประกอบด้วย KBANK, PTTEP, HANA, FN, TKN, AJ, SCN, WICE, VIBHA
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงลงเพราะกังวลคำสั่งทรัมป์ที่ระงับการเข้าสหรัฐของพลเมือง 7 ชาติมุสลิม
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงหนักสุดหลังจากทรัมป์ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเพื่อระงับการเข้าสหรัฐของพลเมืองจาก 7 ชาติมุสลิม คือ ซีเรีย เยเมน ซูดาน โซมาเลีย อิรัก อิหร่าน และลิเบีย เป็นเวลา 90 วัน และห้ามผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศเข้าสหรัฐ เป็นเวลา 120 วัน ซึ่งตลาดเห็นว่ามาตรการนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นอกจากนั้นหุ้นกลุ่มพลังงานก็ลดลงด้วย ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 19,971.13 จุด ร่วงลง 122.65 จุด หรือ -0.61% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,613.71 จุด ลดลง 47.07 จุด หรือ -0.83% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,280.90 จุด ลดลง 13.79 จุด หรือ -0.60%
สหรัฐ : ปัจจัยจับตา คือ ผลประชุมเฟด 31 ม.ค.-1 ก.พ.60
นักลงทุนจับตาการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ม.ค. - 1 ก.พ. โดยนักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ แต่มีโอกาสปรับขึ้นครั้งแรกของปีนี้ในการประชุมเดือนมี.ค.60 หรือมิ.ย.60
- ตลาดน้ำมัน : ยังกังวลการผลิตเพิ่มของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 54 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 52.63 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 29 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 55.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะกลับมาเพิ่มอีก 15 แท่น สู่ระดับ 566 แท่นในสัปดาห์นี้และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะเพิ่มเป็น 800-900 แท่นในปลายปี 60 ซึ่งประเด็นนี้กดดันต่อการปรับลดการผลิตของประเทศกลุ่มในและนอกโอเปกตามที่ได้ตกลงกันไว้
-/ ตลาดทองคำ : แผ่วลงหลังผ่านตรุษจีน...ดัชนีดอลลาร์ทรงตัว
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 4.9 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ระดับ 1,196.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจบเทศกาลตรุษจีน และยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา ด้านดัชนีค่าเงินดอลลาร์ก็ทรงๆ ที่ 100.3-100.4 จุด
ปัจจัยในประเทศ :
ไทย : สศค.ปรับเพิ่ม GDP Growth ปี 60 เป็น +3.6% (เดิม +3.4%)
สศค.ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 60 ขึ้นเป็น +3.6% (เดิม +3.4%) ปัจจัยขับเคลื่อน คือ
1. การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการจัดทำงบประมาณปี 60 เพิ่มเติมอีก 1.9 แสนล้านบาท โดยจะใช้จ่ายในปีงบประมาณ 60-70%)
2. โครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐคืบหน้าต่อเนื่อง (โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าเขตเมือง มอเตอร์เวย์ การพัฒนาท่าอากาศยาน ฯลฯ)
3. รายได้ภาคเกษตรที่ดีขึ้นหลังราคาสินค้าเกษตรฟื้นตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ซึ่งช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนให้กระเตื้องขึ้น
4. เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าในตลาดโลกขยายตัวดีขึ้น ทำให้การส่งออกในปี 60 มีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกเพิ่มขึ้นได้
ประมาณการเศรษฐกิจปี 59-60 ณ 30 ม.ค.60 ของ สศค.
2559 (ณ ม.ค.60) 2560 (ณ ม.ค.60)
เฉลี่ย เฉลี่ย ช่วงคาดการณ์
อัตราการขยายตัวของ GDP 3.2 3.6 3.1 ถึง 4.1
ด้านการบริโภค
ภาคเอกชน 3.2 3.0 2.5 ถึง 3.5
ภาครัฐ 0.5 3.2 2.7 ถึง 3.7
ด้านการลงทุน
ภาคเอกชน 0.0 2.7 2.2 ถึง 3.2
ภาครัฐ 8.0 9.0 8.5 ถึง 9.5
ส่งออกสินค้า (%) 0.0 2.5 2.0 ถึง 3.0
นำเข้าสินค้า (%) -5.0 6.4 5.9 ถึง 6.9
ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (%) 11.6 9.2 8.7 ถึง 9.7
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (%) 0.2 1.8 1.3 ถึง 2.3
อัตราเงินพื้นฐาน (%) 0.7 0.8 0.3 ถึง 1.3
+ กลุ่มท่องเที่ยว : ททท.คาดรายได้ท่องเที่ยวปี 60 จะเติบโตได้ 10%....ให้ AOT เป็นหุ้น Top Pick
# การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือททท.คาดว่ารายได้ภาคท่องเที่ยวปี 60 จะขยายตัวได้ราว 10% เป็น 2.77 ล้านล้านบาท (จาก 2.52 ล้านล้านบาทในปี 59)
# สำหรับ 1Q60 คาดการณ์ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นดี โดยรายได้ท่องเที่ยวต่างประเทศ +7% เป็น 4.9 แสนล้านบาท และในประเทศ +12% เป็น 2.4 แสนล้านบาท ปัจจัยหนุน คือ ยอด Forward Booking ที่สูง (+7%) มีเที่ยวบินใหม่เข้าภูมิภาคมากขึ้น และเที่ยวบินเช่าเหมาลำทยอยกลับสู่ตลาด
# ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำรายได้ Top-5 ของไทย คือ จีน รัสเซีย มาเลเซีย สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ส่วนตลาดที่เติบโตดีมาก คือ บราซิล (+49%)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวของไทย แม้ว่าในช่วง 4Q59 จะสะดุดไปบ้างเพราะมีเหตุการณ์สวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 9 และการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ก็กระเตื้องดีขึ้นมาตั้งแต่เดือนธ.ค.59 จนถึงปลายม.ค.60 และคาดว่า 1Q60 จะยังคงเป็น High Season ที่ดีของธุรกิจ
สำหรับหลักทรัพย์ที่เป็น Top Pick ในกลุ่มนี้ คือ AOT (ราคาพื้นฐาน 455 บาท) ทั้งนี้ธุรกิจยังคงเติบโตได้ดี ผู้บริหารคาดว่ารายได้ปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60) จะเติบโตได้เป็นเลขสองหลัก โดยมาจากปริมาณผู้โดยสารที่มาใช้สนามบินเพิ่มประมาณ 8% และรายได้ค่าเช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ของสนามบินดอนเมืองและภูเก็ตเพิ่มขึ้น ยังผลให้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิงวดปี 60 จะขยายตัวได้ +15% เพิ่มขึ้นจาก +4.5% ในงวดปี 59 (สิ้นสุดก.ย.59) และเมื่อ 27 ม.ค.60 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีอนุมัติแตกพาร์จาก 10 บาทเป็น 1 บาท ซึ่งคาดว่าจะมีผลเร็วๆ นี้ และจะช่วยให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้น AOT ดีขึ้น
- กลุ่มสื่อสาร : DTAC รายงานผลประกอบการปี 59 แย่กว่าคาด
# การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่กดดันผลประกอบการปี 59 ทาง DTAC รายงานกำไรสุทธิปี 59 ลดลง 65% เหลือ 2.08 พันล้านบาท และประกาศงดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวด 2H59 เพราะมีผลขาดทุนสะสมในงบเฉพาะกิจการในงวดสิ้นปี 59 และได้โอนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นมาตัดขาดทุนสะสมดังกล่าวไปแล้ว ทั้งนี้ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของงบการเงินเฉพาะกิจการ ส่วนหนึ่งก็มาจากการประเมินด้อยค่าในต้นทุนเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆมูลค่า 5.2 พันล้านบาทด้วย ยังผลให้งบเฉพาะกิจการมีขาดทุนสุทธิ 1.05 พันล้านบาท แต่งบการเงินรวมยังเป็นกำไรตามตัวเลขดังกล่าวข้างต้น
# แนวโน้มการแข่งขันยังคงสูงต่อในปี 60 เราจึงประมาณการว่ากำไรสุทธิของกลุ่มสื่อสารจะยังไม่ดีนัก และบริษัทขนาดใหญ่อย่าง ADVANC & INTUCH มีการปรับลดอัตราการจ่ายปันผลลงจาก 100% ของกำไรด้วย ส่งผลให้ Dividend Yield ปี 60 จะอ่อนลงมาเป็นประมาณ 5+/-% ขึ้นกับราคาหุ้น (จากเดิมที่ 7+/-%) ขณะที่ TRUE น่าจะมีขาดทุนสุทธิทางบัญชีเพราะมีค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาต 4G ถึงสองใบแต่ยังทำรายได้ไม่เต็มศักยภาพของใบอนุญาต ในเชิงกลยุทธ์ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มสื่อสารเป็น Underweight
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]