- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 30 January 2017 17:21
- Hits: 1765
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังไม่ผ่าน 1,600 จุด จากแรงขายรายหุ้นที่เต็มมูลค่า และหุ้นที่กระทบจากราคาน้ำมันขาขึ้น โดยเฉพาะสายการบิน ซึ่งยังถูกกดดันจากการขึ้นภาษีน้ำมันเส้นทางในประเทศ แนะนำลดน้ำหนักสายการบินทั้งกลุ่ม กลยุทธ์ยังเน้น Selective Buy จากหุ้น Global (PTT, PTTEP, PTTGC) หุ้นกำไรเด่นปี 2560 (WHA, COM7) หุ้นปันผลเด่น (ASK, SCCC, TCAP, LH, PTTGC) Top picks PTTEP(FV@B116) และ COM7(FV@B14) ซึ่งมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการแและ Fair Value หลังซื้อกิจการขยายสาขาเพิ่มเติม
(-) การค้าโลกสะเทือน..ทรัมป์ เริ่มกับเม็กซิโกก่อน
สัปดาห์นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางหลักหลายแห่งของโลก เชื่อว่าไม่มีอะไรใหม่ โดยยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายตามเดิม เริ่มด้วย 30-31 ม.ค.60 ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% และคงวงเงิน QE ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปีตามเดิม ตามมาด้วยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประชุม 2 วันระหว่าง 31 ม.ค.-1ก.พ.60 คาดยังคงดอกเบี้ยนโยบาย แม้ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจทั้งฝั่งภาคการผลิตและภาคบริการยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 2.1% (สูงกว่าเป้าที่ Fed วางไว้) ซึ่งน่าจะหนุนให้ Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้ง ขณะที่ผลสำรวจของ Bloomberg ยังให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่งวด 2H60 เป็นต้นไป และ 2 ก.พ. ธนาคารกลางอังกฤษ(BOE)คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% หลังจาก BOE ได้ปรับลดลงไปเมื่อปลายปี 2559 เพื่อรองรับผลกระทบ Brexit ซึ่งตลาดน่าจะให้น้ำหนักไปที่ความคืบหน้าการออกจากยุโรป
ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดน่าจะมุ่งให้น้ำหนักประเด็นมาตรการกีดกันทางการค้าของนายทรัมป์ฯ ซึ่งล่าสุดมุ่งไปที่เม็กซิโก โดยเตรียมจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 20% โดยจะนำภาษีดังกล่าวเพื่อใช้สร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐและเม็กซิโก และเชื่อว่าประเทศที่เข้าข่ายถูกกีดกันทางการค้าถัดมาคือ เอเชีย ซึ่งน่าจะมุ่งไปที่จีน ซึ่งได้ดุลการค้ากับสหรัฐสูงสุดราว 40% ของการขาดดุลทั้งหมด (รองลงมา เยอรมนี 9.3% ญี่ปุ่นอันดับ 3 สหรัฐขาดดุลราว 9% ของการขาดดุลทั้งหมด เม็กซิโกอันดับ 4 ราว 7.6% และเวียดนามอันดับ 5 ราว 4%) และน่าจะกระทบต่อไทย ทั้งทางตรง (สหรัฐนำเข้าไทยราว 10% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย สินค้านำเข้าหลักคือ แผงวงจรชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้สำนักงาน ยางแผ่นและยางแท่ง และอาหารทะเล เป็นต้น) และทางอ้อม (ไทยส่งออกไปจีนราว 11.05% ของยอดส่งออกรวมทั้งหมด สินค้าส่งออกหลักคือ ชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เม็ดพลาสติก ยางพารา มันสำปะหลัง และเคมีภัณฑ์ ตามลำดับ)
(-) ต้นทุนสายการบินเพิ่มทั้งน้ำมันและภาษีหลีกเลี่ยงทั้งกลุ่ม
แนวโน้มราคาน้ำมันดิบระยะกลาง-ยาว คาดว่ายังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากการร่วมมือกันตัดลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ลงวันละ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปัจจุบันตัดลดแล้ว 1.5 ล้านบาร์เรล) แม้ว่ากำลังการผลิตน้ำมันจากสหรัฐจะเพิ่มขึ้นราว 4 แสนบาร์เรลต่อวัน (จาก shale oil/shale gas) แต่สุทธิแล้วทำให้ Supply ยังคงลดลง และจะลดปัญหา Oversupply ของน้ำมันโลก และน่าจะเข้าสู่สมดุลได้เร็วกว่าที่คาดไว้ที่ประมาณกลางปีนี้ ASPS กำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2560 เท่ากับ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล และเพิ่มขึ้นเป็น 60 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในปี 2561 และหลังจากปี 2562 กำหนดให้เท่ากับ 65 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งหนุนให้หุ้น PTTEP และ PTT เปลี่ยนเป็นทิศทางขาขึ้นแม้ว่าได้ปรับขึ้นมาแล้วระดับหนึ่งก็ตาม
ในทางตรงข้ามกลุ่มที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนหลักจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่กลุ่มขนส่ง โดยเฉพาะสายการบิน ซึ่งแม้ว่าได้มีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าไว้แล้ว (hedging) ก็ตาม กล่าวคือ โดย AAV (ถือหุ้น Thai Air Asia 55%) ขณะนี้ทำ hedging น้ำมันไว้ 70% ของปริมาณน้ำมันที่ใช้ สูงกว่าสมมติฐานที่ ASPS กำหนดไว้ที่ 50% ขณะที่ BA และ THAI ทำ hedging ไว้เพียง 40% และ 45% ตามลำดับ ต่ำกว่ากว่าสมมติฐานที่ ASPS กำหนดไว้ที่ 50% ดังนั้นหากราคาน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นทุก 5 เหรียญฯ จากสมมติฐานจะกดดันต้นทุนสายการบินแต่ละรายเพิ่มขึ้น 1.2%, 0.7% และ 0.9% ตามลำดับ ซึ่งจะกระทบกำไรสุทธิในปี 2560 ราว 9%, 3.8% และ 46.6% ตามลำดับ
นอกจากนี้ล่าสุดรัฐเตรียมขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินสำหรับสายการบินที่มีเส้นทางบินในประเทศ จากเดิม 0.2 บาท เป็น 4 บาทต่อลิตร ซึ่งหากอ้างอิงสมติฐานของฝ่ายวิจัยที่ประเมินปริมาณการใช้น้ำมันเฉพาะเส้นทางบินในประเทศแต่ละปี ของ Thai Air Asia, BA และ THAI เฉลี่ย 400, 160 และ 120 ล้านลิตร ตามลำดับ ซึ่งจะกระทบต่อกำไรสุทธิหลังหักภาษีปีละ 668 ล้านบาท (คำนวณตามสัดส่วนที่ AAV ถือหุ้น 55% ใน ThaiAirAsia ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาษี 1,352 ล้านบาท) 486 และ 364 ล้านบาท ตามลำดับ หรือจะทำให้กำไรสุทธิแต่ละรายลดลง 31.6%, 15.9% และ 9.8% ของคาดการณ์กำไรของ AAV([email protected]), BA([email protected]) และ THAI(FV@B21) ซึ่งจะกระทบต่อ Fair Value ปี 2560 ราว 0.8, 1.4 และ 0.2 บาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ แม้ในทางปฏิบัติสายการบินสามารถผลักภาษีน้ำมันให้กับผู้บริโภคได้ แต่ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรง และ สายการบินจะมีการขายตั๋วล่วงหน้าอย่างน้อย 25-30% ของยอดขายรวม ซึ่งส่วนนี้จะผลักภาระภาษีไม่ได้เลย ล้วนถือเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มสายบิน จึงปรับลดน้ำหนักการลงทุนเป็นน้อยกว่าตลาด และระยะสั้นแนะนำให้ขายหุ้นสายการบินทุกแห่ง
(+) ต่างชาติสลับมาขายหุ้นไทย ในช่วงตรุษจีน
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันหยุดทำการ เนื่องจากเป็นวันตรุษจีน และ จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งในวันอังคารและวันพฤหัสบดีนี้ ตามลำดับ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ยังคงเปิดทำการเป็นปกติ และหากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า มีทั้งซื้อและขาย กล่าวคือ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกซื้อสุทธิราว 28 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ 2 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) แต่ตรงข้ามกับตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติสลับมาขายสุทธิราว 30 ล้านเหรียญ หรือ 1.1 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่าราว 416 ล้านบาท
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 6.45 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิราว 243 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
(+) แนะนำสะสม COM7 มีโอกาสปรับกำไร จากช่องทางตลาดที่เพิ่มหลังเข้าซื้อ BKK
ราคาหุ้น COM7(FV@B14) ปรับลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา เชื่อว่ามาจากความกังวลเรื่องที่ Apple Inc. มีแผนที่จะเข้ามาเปิดร้านค้าปลีก (Apple Retail Store) ในไทย อาจจะทำให้ภาพธุรกิจ มีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามยังมีมุมที่เป็นบวก คือ การเข้ามาของ Apple Retail Store เชื่อว่ามิใช่การ รุกธุรกิจค้าปลีก แต่น่าจะเน้น ไปในด้านกิจกรรมเพื่อสร้าง Brand ให้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะกิจกรรมในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของ Brand ซึ่งจะสร้างผลบวกต่อ Brand Loyalty อันเป็นผลดีในระยะยาว อ้างอิงจาก Apple Retail Store ที่เปิดดำเนินการในประเทศแถบเอเชีย และที่ตามมาคือ น่าจะทำให้ Apple Inc. จัดชั้นประเทศไทยเข้าสู่กลุ่ม Tier 1 (กลุ่มที่จำหน่ายสินค้ารุ่นใหม่พร้อมร้านค้าในสหรัฐ) หรือ Tier 2 เป็นอย่างต่ำ จากเดิมที่ไม่ถูกจัดอยู่ใน Tier ใดเลย ซึ่งจะทำให้ได้รับการจำหน่ายสินค้าเร็วขึ้น และจะทำให้ Apple Inc. สามารถทุ่มงบโฆษณาในการทำการตลาดในไทย ซึ่งเท่ากับหนุนธุรกิจค้าปลีกของตัวแทนจำหน่าย ถือว่าเป็นผลดีต่อ COM7
ทั้งนี้ยังไม่รวมประเด็นบวกจากการซื้อกิจการร้านขายอุปกรณ์โทรศัพท์ ภายใต้แบรนด์ “BKK” รวม 44สาขาทั่วประเทศ เป็นเงิน 184 ล้านบาท โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนจากภายในกิจการ (Cash Flow from Operation ราว 374 ล้านบาทปี 2559 และ 711 ล้านบาทในปี 2560 ขณะที่ Gearing Ratio 0.1 เท่า) ซึ่งน่าจะมีผลต่อการปรับประมาณการ และ Fair Value ในปี 2560 จึงยังแนะนำซื้อ ภายใต้ประมาณการเดิมมี upside 16% (ติดตามอ่าน Equity Talk เช้านี้)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์