- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 20 January 2017 18:53
- Hits: 6611
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'รอข่าวใหม่ในสหรัฐ & รายงานกำไรปี 59'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มีปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยอ่อนลงต่อ ปิดตลาด -5.95 จุด ปิดที่ 1554.88 นักลงทุนปรับพอร์ต/ขายทำกำไรหลังราคาน้ำมันดูตื้อๆ เพราะกังวลกับการผลิตเพิ่มของสหรัฐ และรอดูมาตรการทรัมป์ ซึ่งจะขึ้นรับตำแหน่งปธน.วันศุกร์ 20 ม.ค.นี้สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3.4 พันล้านบาท รายย่อยซื้อสุทธิ พอร์ตบล.และต่างชาติซื้อ/ขายพอๆกัน สำหรับปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
• ECB มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.4% และคง QE ไว้เท่าเดิม โดยจะใช้ QE ถึงสิ้นธ.ค.60
• ประธานเฟดกล่าวสุนทรพจน์เช้านี้ ตอกย้ำเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น และเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยให้รวดเร็วกว่าที่ผ่านมา
•/- จับตามาตรการทรัมป์...ความกังวล คือ 1. แผนการลงทุนจะทำให้สหรัฐขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นและรัฐบาลต้องขอขยายเพดานหนี้สาธารณะอีกรอบ (ปัจจุบันสหรัฐมีหนี้สาธารณะ 104% ของจีดีพี) และ 2. นโยบายทรัมป์อาจกระทบการค้า & การลงทุนโลก
• กำไรแบงค์เล็กปี 59 โดดเด่นกว่าแบงค์ใหญ่ และคาดว่าในปี 60 ก็ยังเป็นเช่นนี้อีก...หุ้น Top Pick คือ TISCO รองลงมา TCAP
• จัดพอร์ตบนความสมดุลของ Risk & Return (แบ่งเป็น 3 หมวด : หุ้นปันผล, หุ้นมั่นคง และหุ้นเติบโต) และทำ Re-balancingต่อเนื่อง ทั้งนี้ตลาดหุ้นปีนี้มีแนวโน้มผันผวน ความเสี่ยง FX มากขึ้น และเริ่มต้นปีบน Index ที่สูง หุ้นพื้นฐานแนะนำเป็น TISCOการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นลบ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก/ซื้ออ่อนตัวที่แนวรับ แนวต้านระยะสั้น 1560-1570, 1580 จุด แนวรับ 1540, 1530-1520 จุด
สำหรับหุ้น SCAN ทางเทคนิคที่เข้ามาใหม่เป็น EPCO, KOOL, PSL, TTA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ LHBANK, FORTH, MDX,GUNKUL, BCH หุ้นแนะนำที่หาจังหวะ Take Profit เป็น ORI หุ้นที่หลุด List คือ HMPRO
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศสำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ :
ยูโรโซน : ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.4%
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และได้คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25% นอกจากนี้ ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน สำหรับเดือนม.ค.-มี.ค.60 ส่วนเดือนเม.ย.-ธ.ค.60 จะอยู่ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน
สหรัฐ : ประธานเฟดคาดเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มแตะ 2% ใน 2 ปีข้างหน้า ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายการเงิน ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย โดยนางเยลเลนคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2% ในอีก 2 ปีข้างหน้า และคาดว่าตลาดแรงงานจะไม่เข้าสู่ภาวะร้อนแรงเกินไป พร้อมกับกล่าวว่าเฟดจำเป็นต้องเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้รวดเร็วขึ้น และนางเยลเลนยังกล่าวด้วยว่า การใช้จ่ายด้านทุนมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นในระดับปานกลางในปีนี้ และเฟดมีความคืบหน้าอย่างมากในการบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านตลาดแรงงานและภาวะเงินเฟ้อ
+ สหรัฐ : ภาคที่อยู่อาศัยเติบโตสูงก่อนที่ดอกเบี้ยจำนองจะเร่งตัวขึ้นในปี 60
ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนธ.ค.59 โดย +11.3%MoM สู่ระดับ 1.23 ล้านยูนิต หลังเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.10 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. ซึ่งตัวเลขที่แข็งแกร่งเป็นผลจาก 1. เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว 2. ราคาบ้านกำลังสูงขึ้น 3. อัตราดอกเบี้ยจำนองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานแข็งแกร่ง
จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเลดลง 15,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 234,000 ราย สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 254,000 ราย
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีอ่อนลงก่อนทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,732.40 จุด ลดลง 72.32 จุด หรือ -0.37% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,540.08 จุด ลดลง 15.57 จุด หรือ -0.28% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,263.69 จุด ลดลง 8.20 จุด หรือ -0.36% นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่นายทรัมป์จะทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ และก่อนที่ประธานเฟดจะเปิดเผยแนวโน้มเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินในวันนี้เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย แต่ตลาดไม่ได้ร่วงแรงเพราะมีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในภาคแรงงานและที่อยู่อาศัย
ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 29 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 51.37 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 24 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 54.16 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (API) เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 5.04 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 342,000 บาร์เรล แต่ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 485.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1 ล้านบาร์เรล
- ราคาทองคำ : ร่วงลงหลังค่าเงิน US$ แข็งขึ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 10.6 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 1,201.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงิน US$ แข็งขึ้น
ปัจจัยในประเทศ :
-/ ราคาถ่านหิน : เดือนม.ค.60 อ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปี 59 อยู่ 30%
ดัชนีราคาถ่านหินเดือนธ.ค.59 อ่อนตัวลงเป็นเฉลี่ย 88 ดอลลาร์/ตัน จาก 106 ดอลลาร์/ตันในเดือนพ.ย.59 เนื่องจากมีปริมาณผลิตเพิ่มเข้าสู่ตลาด ส่วนในเดือนม.ค.60 อ่อนต่อเป็น 86 ดอลลาร์ในช่วง 3 สัปดาห์แรก อย่างไรก็ตาม ระดับ 80 กว่าดอลลาร์/ตันนั้นดีกว่าเฉลี่ยของปี 59 ที่ 66 ดอลลาร์/ตันอย่างมีนัยสำคัญ (โดยสูงกว่า 30%)
เราคาดว่าผลประกอบการของหุ้นถ่านหินปี 60 จะดีขึ้นเมื่อเทียบ YoY โดยเป็นผลจากอุปสงค์ที่กระเตื้องขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินเพื่อทดแทนมีมากขึ้น ขณะที่ปริมาณผลิตหายไปมากในช่วงที่ผ่านมา เพราะทางการจีนปิดเหมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทำให้ราคาสามารถขยับขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีการขายถ่านหินล่วงหน้าไปบางส่วน ทำให้ราคาขายจริงอาจจะตำกว่าราคา Spot ได้ แต่เชื่อว่าราคาขายจริงที่เกิดขึ้นในปีนี้ก็ยังสูงกว่าราคาขายจริงในปี 59 พอสมควร
สำหรับหุ้น BANPU นักวิเคราะห์ประเมินว่าผลประกอบการปี 60 จะฟื้นตัวแข็งแกร่ง จากราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น และให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 23.40 บาท (IAA Consensus)
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : รายงานผลประกอบการปี 59…ธนาคารเล็กกำไรเติบโตดีกว่าธนาคารใหญ่
BBL - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 31.8 พันล้านบาท -6.9%YoY
KTB - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 32.3 พันล้านบาท +13.3%YoY
KBANK - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 40.2 พันล้านบาท +1.8%YoY
SCB - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 47.6 พันล้านบาท +0.9%YoY
TMB - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 8.2 พันล้านบาท -12.0%YoY
LHBANK - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 2.7 พันล้านบาท +63.3%YoY
TCAP - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 12.4 พันล้านบาท +15.7%YoY
TISCO - กำไรสุทธิปี 59 เท่ากับ 5.0 พันล้านบาท +17.8%YoY
เห็นได้ว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ทั้ง TCAP, TISCO, LHBANK (และคาดว่า KKP ก็ด้วย) มีกำไรสุทธิในปี 59 เติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่มีกำไรสุทธิทรงตัว-ลดลง ทั้งนี้เป็นเพราะ NPL ของสินเชื่อหลักแบงค์เล็กคือสินเชื่อเช่าซื้อได้ถึงจุด Peak ก่อนธนาคารใหญ่ NPL ของหลายธนาคารลดลงต่อเนื่องทำให้ Average Yield ของสินเชื่อดีขึ้น, มีการปรับสัดส่วน CASA ให้เพิ่มขึ้นเพื่อบริหารต้นทุนการเงินให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น, ต้นทุนการเงินลดลง การตั้งสำรองค่าเผื่อฯแม้ว่าจะสูงแต่ก็ไม่ได้เป็นก้อนใหญ่มากๆแล้ว
ส่วนแนวโน้มปี 60 ยังคงประเมินว่าธนาคารขนาดเล็กจะมีผลประกอบการที่เติบโตดีกว่าธนาคารใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากการที่ NPL ของสินเชื่อที่พักอาศัยและ SME ยังมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารใหญ่ยังต้องตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูง ผลประกอบการจึงอยู่ในแนวโน้มทรง-อ่อนลง แต่ธนาคารขนาดเล็กมีความเสี่ยงเรื่อง NPL เพิ่มขึ้นน้อยกว่าและสินเชื่อเช่าซื้อมีโอกาสกระเตื้องขึ้นในช่วง 2H60
ในเชิงกลยุทธ์ เราให้ TISCO (ราคาพื้นฐาน 75 บาท) เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รองลงมาเป็น TCAP (ราคาพื้นฐาน 53 บาท) ทั้งนี้ TISCO กำลังทำดีลเข้าซื้อธุรกิจรายย่อยของ SCBT คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2H60 และทำให้พอร์ตสินเชื่อของ TISCO เติบโตได้ 15% เมื่อทำงบการเงินรวม ซึ่งรายการนี้เป็น Key Growth ของกำไรในปี 60 และปี 61 โดยขณะนี้เรายังไม่รวมดีล SCBT ไว้ในประมาณการและราคาเป้าหมายของ TISCO
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]