WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.โกลเบล็ก : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

Market View : แนวต้าน 1,545-1,551
Technical : แนวรับ 1,519 / 1,500 แนวต้าน 1,530 / 1,545
หุ้นแนะนำพิเศษ : STEC แนวรับ 23.6/23 แนวต้าน 25.25/27
หุ้นเด่นรายวัน : HMPRO KCE PTTEP

  วันอังคารตลาดหุ้นไทยบวกต่อ ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,528.98 จุด เพิ่มขึ้น 9.60 จุด(+0.63%) มูลค่าการซื้อขาย 47,259.47 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นขายสุทธิ 842.78ล้านบาท
  แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ทางฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็กฯ คาดมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 1,485-1,545 แรงซื้อระยะสั้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่จากการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการ รวมทั้งระดับราคาหุ้นที่ปรับลงมาส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ในระดับสูงจูงใจให้เกิดแรงซื้อระยะสั้น ในขณะที่ SET50 ระยะสั้นปรับตัวเหนือ 1,023 แนวโน้มเชิงบวก แนวต้านต่อไป 1,034 GFQ14 เก็งกำไรในกรอบ 19,610-19,840 GFV14 เก็งกำไรในกรอบ 19,640-19,870
  กลยุทธ์ การกลับตัวขึ้นเร็วและแรง(3วันทำการ40จุด) เป็นการกลับเข้าเขตซื้อมาก ระหว่างวันอาจมีแรงขายทำรอบหรือขายทำกำไร ที่ระดับ 1,535 / 1,545 สำหรับนักลงทุนระยะสั้นขายทำรอบแล้วรอซื้อเล่นรอบใหม่ โดยเฉพาะหุ้นที่กลับขึ้นแรง เช่น กลุ่มสื่อสาร เป็นต้น คาดแรงซื้อกลับเข้ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง STEC CNT UNIQ กลุ่มอสังหาฯ RML SC BLAND LH QH กลุ่มพลังงาน แรงซื้อกลับคืนเพิ่มขึ้นมาก PTTEP PTT TTW กลุ่มโรงกลั่น TOP BCP หุ้นรายหลักทรัพย์ MINT MONO SST SITHAI ระยะกลาง ถือ

หุ้นแนะนำพิเศษ
  STEC ( ปิด 24 บาท ซื้อเป้าปี 57: 26.25 บาท) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเราชอบ STEC มากที่สุด เพราะมีโครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่งมี D/E Ratio ต่ำสุดเพียง 2 เท่า และเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงสุดของกลุ่ม BIG Three(CK ITD STEC) โดยปีนี้เราคาดกำไรปกติประมาณ 1,600 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 7%yoy

หุ้นเด่นรายวัน
  HMPRO (ราคาปิด 10.30 ซื้อ เป้าหมาย 12.50) ครึ่งแรกปี 57 มีกำไรสุทธิ 1,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% โดยมีรายได้จากการขาย 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากการเติบโตของสาขาเดิม และการเปิดสาขาใหม่ ขณะที่แผนการเปิดสาขาใหม่ทั้งสาขาโฮมโปร สาขาเมกะโฮม และสาขาแรกในมาเลเซียทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว คาดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกจากแผนการเปิดสาขาใหม่อีกไม่น้อยกว่า 5 สาขาและการจัดงานโฮมโปรเอ๊กซ์โปร
  KCE (ราคาปิด 42 ซื้อเก็งกำไร ) แจ้งกำไรสุทธิ 2Q57 เติบโตสูงถึง 413% เป็น 479 ล้านบาท กำไรครึ่งปี 57 ที่ 918 ล้านบาทเติบโต 96% ปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 0.40 บาท XD 18 ส.ค. วันจ่าย 4 ก.ย.
  PTTEP (ปิด 163.50 ซื้อเป้าปี 57: 185 บาท) เก็งกำไรข่าวแหล่ง Zawtika ในพม่าเริ่มทำการผลิตและ ส่งก๊าซธรรมชาติขายให้แก่ PTT ได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ส่งผลบวกต่องบกำไรขาดทุนในไตรมาส 3/57 ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรสูงขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/57 โดยแหล่ง Zawtika มีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติ 330 ล้านลูกบาศก์ฟุต PTTEP ถือหุ้น 80% และอีก 20%ถือหุ้นโดย Myanma Oil and Gas Enterprise (MOGE)ปัจจุบันแหล่ง Zawtika ส่งขายก๊าซให้กับรัฐบาลพม่าที่ระดับ 60 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และจะส่งขายให้ไทยตั้งแต่ 3Q57 อีก 240 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันหากทำการผลิตเต็มไตรมาสจะทำให้ PTTEP มีกำลังการผลิตในไตรมาส 3/57 เพิ่มขึ้นจาก2Q57 อีกประมาณ 10%

รายชื่อหลักทรัพย์ที่ติดเกณฑ์บัญชี Cash Balance
* EFORL / TSF                มีผลบังคับใช้ 30 มิ.ย. - 8 ส.ค.57
* BTC/ KC/ MAX/ NUSA/ TFD/ VIH / VTE     มีผลบังคับใช้ 7 ก.ค. - 15 ส.ค. 57
* ABC / ACAP/ AQ / BKD/ EMC/ WIIK       มีผลบังคับใช้ 14 ก.ค. - 22 ส.ค. 57
* AIRA / MPG / PAE              มีผลบังคับใช้ 21 ก.ค. - 29 ส.ค.57
* BMCL / CKP/ EE / LIVE / RASA/ RPC/ TCC   มีผลบังคับใช้ 28 ก.ค. - 5 ก.ย.57
* TMI / TH                   มีผลบังคับใช้ 4 ส.ค. - 12 ก.ย. 57

***เนื่องจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ดังกล่าวมีการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติของตลาดดังนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

สรุปภาวะตลาดต่างประเทศ
ตลาดหุ้นดาวโจนส์ : ลดลง 139.81 จุด
  ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวลดลง 139.81 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อสถานการณ์ในยูเครนอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากโปแลนด์ออกมาเตือนว่า รัสเซียมีแผนจะโจมตียูเครนหลังรัสเซียได้เพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกว่าเฟดอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้หลังตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญออกมาเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยล่าสุด มาร์กิต อิโคโนมิกส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ค.ขณะที่สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.7 ในเดือนก.ค. จากระดับ 56 ในเดือนมิ.ย. โดยตัวเลขเดือนก.ค.เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2548ทำให้ปิดตลาดดัชนีดาวโจนส์ลดลง 139.81 จุด หรือ -0.84% ปิดที่ 16,429.47 จุด ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,352.84 จุด ลดลง 31.05 จุด หรือ -0.71% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,920.21 จุด ลดลง 18.78 จุด หรือ -0.97%

ตลาดน้ำมัน NYMEX : ลดลง 0.91 เหรียญ
  ราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 91 เซนต์ หลังจากมีการคาดการณ์ว่าสต๊อกน้ำมันดิบและสต๊อกน้ำมันเบนซินรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบไม่ได้ลดลงแรงเหมือนตลาดหุ้นวอลสตรีทเนื่องจากยังมีแรงหนุนจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐอาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 60.8 ในเดือนก.ค.ขณะที่สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.7 ในเดือนก.ค. จากระดับ 56 ในเดือนมิ.ย. โดยตัวเลขเดือนก.ค.เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2548 ทำให้ปิดตลาดราคาน้ำมันดิบที่ตลาดล่วงหน้า NYMEX ส่งมอบเดือนก.ย.91 เซนต์ ปิดที่ 97.38 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนน้ำมันดิบ BRENT ส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 80 เซนต์ ปิดที่ 104.61 ดอลลาร์/บาร์เรล

Analyst – ธวัชชัย 02-6725993 [email protected]
วิลาสินี 02-6725937 [email protected]
อาทิตย์ [email protected]
Assistant - ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!