- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 January 2017 17:37
- Hits: 1671
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังผันผวนตามแรงขายต่างชาติ หลังเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นเหนือเป้าหมาย หนุน Fed ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ทำให้การปรับฐานตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะใกล้จบ โดย SET ยังแกว่งตัวลงในกรอบ 1565-1550 จุด กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นที่มีเงินปันผลสูง (ASK, SCCC, TCAP, LH, PTTGC) และหุ้น Global ที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก (PTT, PTTEP, PTTGC, TTA) เลือก PTTGC(FV@B76) และ TTA([email protected]) เป็น Top picks
(+) เงินเฟ้อสหรัฐทะลุ 2.1% หนุนขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งปีนี้
วานนี้สหรัฐรายงานอัตราเงินเฟ้อ เดือน ธ.ค. ที่ 2.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 1.7% ในเดือน พ.ย.(ผลของราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มราว 10% และค่าเช่าที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น) ซึ่งถือว่าสูงกว่าคาด และน่าจะหนุน Fed ขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งตามที่คาดหมายก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนจากคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ นางเจเนต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือ Fed ที่ตอกย้ำว่า “เศรษฐกิจสหรัฐในขณะนี้ขยายตัวใกล้เป้าหมายที่วางไว้ และจะต้องการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายลง“ และผลการสำรวจของ Bloomberg ล่าสุดพบว่า Fed Fund Rate ในปี 2560 จะอยู่ที่ 1.5% หรือเพิ่มขึ้น 3 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงเดือน มิ.ย. – ธ.ค. 2560 อย่างไรก็ตามติดตามผลการประชุมของ Fed วันที่ 30 ม.ค. – 1 ก.พ. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของปีนี้
ขณะที่พรุ่งนี้ 19 ม.ค. ประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) คาดไม่มีอะไรใหม่ หลังประชุมล่าสุด (ธ.ค.59) ได้ขยายระยะเวลา QE อีก 9 เดือนเป็น ธ.ค.2560 จากเดิมสิ้นสุด มี.ค.60 และลดวงเงิน QE เหลือ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จากเดิม 8 หมื่นล้านยูโร มีผล เม.ย. 60 แต่น่าจะให้น้ำหนักต่อกระบวนการออก Brexit ของอังกฤษซึ่งมีความชัดเจนมากขึ้น
(0) ดัชนีค่าระวางเรือฟื้นตัวต่อเนื่อง
วานนี้ ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.25% สู่ 952 จุด หนุนโดยดัชนี BCI แม้ว่าดัชนี BSI และ BSHI (ดัชนีค่าระวางเรือขนาดที่ TTA และ PSL ให้บริการ) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับดัชนี BPI ปรับลดลงเช่นกัน แต่โดยรวมดัชนี BDI ยังคงฟื้นตัวได้ และต่อเนื่องนับตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยปรับขึ้นมาแล้วกว่า 6.7% หลังจากเมื่อ 2 สัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. ดัชนี BDI ลดลงต่อเนื่อง เหตุเพราะใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน (วันที่ 28 ม.ค. 2560) ซึ่งโรงงานในจีนส่วนใหญ่หยุดการดำเนินการในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อผ่านพ้นวันหยุดตรุษจีนไปแล้ว ดัชนี BDI จะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการเรือเทกองที่เลื่อนมา ประกอบกับปัจจัยหนุนความต้องการใช้เรือเทกองเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาสินแร่เหล็ก ที่ขยับสูงขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ ในจีน และการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมทั้งความต้องการนำเข้าถ่านหินสู่จีนมากขึ้นจากการผลิตถ่านหินในประเทศที่ลดลง นอกจากนี้ ยังใกล้เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในออสเตรเลียและอาร์เจนตินาใน 1Q60 ช่วยหนุนความต้องการเรือเทกองดังกล่าว
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำ TTA ([email protected]) ที่มีความโดดเด่นสุดในกลุ่มเดินเรือ จากการกระจายรายได้หลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจ บ.ย่อย เมอร์เมด (ถือหุ้น 57%) ซึ่งทำธุรกิจเรือขุดเจาะน้ำมันและเรือวิศวกรรมสำรวจใต้ทะเล ซึ่งคาดจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน ดิบในตลาดโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจ UMS ได้รับผลบวกจากราคาถ่านหินฟื้นตัว และธุรกิจเรือเทกองมีแนวโน้มฟื้นตันดีขึ้นเป็นลำดับ จึงคาด TTA จะพลิกฟื้นกลับมามีกำไรในปี 2560 ได้
(-) ระยะสั้นยังคงมีแรงขายรับงบ 4Q59 ของหุ้นธนาคาร
การรายงบธนาคารพาณิชย์งวด 4Q59 ใกล้สิ้นสุดแล้ว โดยวานนี้รายเพิ่ม 2 แห่ง คือ KBANK กำไรสุทธิงวด 4Q59 เท่ากับ 1.02 หมื่นล้านบาท สูงกว่าคาด 49% หดตัวเพียง 5.6%qoq (แต่เพิ่มขึ้น 87.1%yoy) โดยรวมกำไรสุทธิปี 2559 อยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท ทรงตัวจากปี 2558 แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยได้เพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2560-61 ขึ้น 9.4% และ 8.4% จากเดิม สะท้อน ความต้องการ สินเชื่อรายใหญ่ตามการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเกิดขึ้นและสินเชื่อรายย่อย เช่น สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบัตรเครดิต) ภายใต้ประมาณการใหม่ กำไรสุทธิปี 2560-61 เติบโต 6.2% yoy และ 8.7% yoy แนะนำซื้อ Fair value อยู่ที่ 232.8 บาท
ตามด้วย TCAP กำไรสุทธิงวด 4Q59 เท่ากับ 1.69 พันล้านบาท เติบโต 24.6%yoy และ 12.7%qoq โดยรวมกำไรสุทธิปี 2559 อยู่ที่ 6.01 พันล้านบาท ขณะที่ EPS เติบโตราว 17.1%yoy สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2560-61 ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการลงเฉลี่ยปีละ 9% โดยภายหลังลดประมาณการ ยังคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2560-61 เติบโตเฉลี่ย 11.6% p.a. โดยเชื่อสัญญาณบวกของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่เริ่มเห็นในช่วงปลายปี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าการเติบโตสุทธิน่าจะกลับเป็นบวกในปี 2560 พร้อมกับการปรับกลยุทธ์ธุรกิจที่เริ่มเห็นผลสัมฤทธิ์ ด้วยการปรับส่วนผสมของสินเชื่อ การบริหารต้นทุน ผลักดันรายได้ค่าธรรมเนียมฯ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุก ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่ง ยังแนะนำซื้อ Fair value อยู่ที่ 49 บาท
ดังที่เคยกล่าวไว้ใน Market Talk ตลอดสัปดาห์นี้ว่าราคาหุ้นธนาคารได้ปรับตัวรับกับผลประกอบการงวด 4Q59 และแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี 2560 ทำให้ช่วงเวลาหลังจากนี้จะเห็น Sell on fact ของหุ้นธนาคารที่ทยอยประกาศ แต่ก็ถือเป็นจังหวะสมหุ้น ธ.พ. ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มี Valuation ที่น่าจูงใจ ยังคงแนะนำ SCB(FV@B177) และ TCAP(FV@B49)
(-) ต่างชาติขายหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวในภูมิภาค และยังมีมูลค่าสูงถึง 3.2 พันล้านบาท
แม้วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคถึง 4 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวันถูกซื้อสุทธิ 74 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 2 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน),อินโดนีเซีย 5 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 6 วัน), และฟิลิปปินส์ 5 แสนเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) แต่กลับขายหุ้นไทยเพียงแห่งเดียว ด้วยแรงขายที่หนักถึง 90 ล้านเหรียญ หรือ 3.18 พันล้านบาท ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯ ที่สลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยราว 1.1 พันล้านบาท โดยแรงขายหุ้นไทยจากต่างชาติส่งผลให้ภาพรวม Fund Flow ในภูมิภาคที่ซื้อสุทธิกว่า 4 ประเทศ พลิกกลับมาเป็นยอดขายสุทธิรวมราว 8 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 8.91 พันล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิสูงถึง 1.71 หมื่นล้านบาท (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 5)
(+) กลยุทธ์ Dividend Play ซื้อก่อนขึ้น XD 2 เดือน : ASK, LH, SCC, TCAP และ PTTGC
การประกาศงบการเงินงวดปี 2559 กำลังใกล้เข้ามา และหลังจากนี้จะเป็นช่วงการประกาศจ่าย เงินปันผล (รายไตรมาส ครึ่งปี หรือ 1 ปี) คือราวเดือน มี.ค.- พ.ค. ทำให้หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง จะให้ผลตอบแทนที่ดี (รวมเงินปันผล และ capital gain) โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุนในหุ้นปันผลเด่น คือให้ซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 2 เดือนและขายทำกำไรในวันขึ้น XD โดยแบ่งผลตอบแทนที่ได้ออกเป็น 2 กรณีหลักๆ ดังนี้
หุ้นที่จ่ายปันผลปีละครั้ง หากซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 11.66% (ด้วยความน่าจะเป็นกว่า 84%) ได้แก่ THANI ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 27.0% รองลงมา คือ IRPC 17.3%, IFS 15.6%, ASK 12.6%, TK 12.1%, SC 6.7%, TISCO 5.6%, KTB 3.9% และ SITHAI 4.3%
หุ้นที่จ่ายปันผลปีละมากกว่า 2 ครั้ง หากซื้อก่อนวันขึ้น XD ราว 2 เดือน และขายทำกำไรในวันขึ้น XD ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีตสูงถึง 7.57% (ความน่าจะเป็น 79%) ได้แก่ AH ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 15.8% ตามมาด้วย BCP 13.8%, SENA 13.4%, AIT 13.4%, MAJOR 12.5%, INTUCH 11.6%, MCS 11.1%, ADVANC 10.4%, HANA 10.3%, GLOW 10.3%, SPALI 9.8%, TCAP 7.5%, TTW 7.3 %, SAT 7.2%, LANNA 7.1%, BBL 6.9%, PTTGC 6.8% และบริษัทอื่นๆอีกกว่า 15 บริษัท
โดยฝ่ายวิจัยฯ เลือก ASK, LH, SCC, TCAP และ PTTGC เป็น Top Picks(อ่านรายละเอียดได้ในบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม Quantitative Analysis ในวันอังคารที่ 17 ม.ค. 2560)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์