- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 04 January 2017 21:13
- Hits: 1971
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'สวัสดีปีใหม่ 2560' ขอให้สุขกายสุขใจ สำเร็จในการงานและการลงทุน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : -ไม่มี-
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index ปี 2559 ปรับขึ้น 20% ปิดที่ 1542.94 นับว่าเป็นปีที่ดีของตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ภายนอกและภายในกดดันหลายประการ แต่อัตราดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่สูงก็ช่วยหนุน นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 7.85 หมื่นล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1.04 แสนล้านบาท สำหรับปัจจัยสำคัญวันนี้เป็น
+ จีน : เดือนธ.ค.ดัชนี PMI ภาคการผลิตสูงสุดในรอบ 4 ปี และภาคบริการสูงสุดในรอบ 3 ปี
+ สหรัฐ : ภาคการผลิตเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง & ภาคก่อสร้างพ.ย.ก็เติบโตดี
- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลงกว่า 2% จากแรงขายทำกำไร..จับตาการลดการผลิตว่าจะเป็นไปตามข้อตกลงได้หรือไม่ (เริ่ม 1 ม.ค.60)
+ DBSV ประเมินดัชนีเป้าหมายปี 2560 ไว้ที่ 1570-1620 จุด บน EPS Growth ตลาดหุ้นไทย +2% และ +5%
+ Theme การลงทุนหุ้นไทยปี 60 : 1) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, 2) บาทอ่อน, 3) การขยายตัวใน CLMV+I, 4) ท่องเที่ยวฟื้นตัว
+ สำหรับปี 60 หุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง คือ KKP, BCP, LH และ DIF , หุ้น Value Play ที่น่าสนใจทยอยซื้อสะสม ได้แก่ AOT, SCC, CPALL, CPN และหุ้นเติบโตแกร่งในปี 60 เป็น TKN, TISCO, MTLS, CHG, LPH, WORK, ERW, ANAN, AP
กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือ/สะสมหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยซื้อลงทุนหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น AOT, GPSC
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1550-1560 การหลุดแนวฟิวเตอร์ 1525 ดูไม่ดี และควรลดพอร์ตตาม การ Scan หุ้นเด่นทางเทคนิค หุ้นที่เข้ามาใหม่เป็น AP, PLAT, GPSC, BCH, SPA หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SF, GLOBAL, BR, DTAC หุ้นที่หลุด List คือ M, TPOLY และหุ้นที่หาจังหวะ Take profit เป็น KKP
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ภาคการผลิตและก่อสร้างออกมาแข็งแกร่ง
# สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของ ISM ปรับตัวขึ้น 1.5% สู่ระดับ 54.7 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2558 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 53.2 ในเดือนพ.ย.
# มาร์กิตระบุว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ขยายตัวสู่ระดับ 54.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 21 เดือน
# การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐ +0.9%MoM ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2549 โดยได้แรงหนุนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาครัฐและเอกชน
+ จีน : เดือนธ.ค.ดัชนี PMI ภาคการผลิตสูงสุดในรอบ 4 ปี และภาคบริการสูงสุดในรอบ 3 ปี
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนขยายตัวเป็น 51.9 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยเพิ่มขึ้นจากระดับของเดือนพ.ย.ที่ 50.9
ดัชนี PMI ภาคบริการของจีน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.9 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากระดับของเดือนพ.ย.ที่ 50.9
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นแกร่งในวันแรกของปี 2560
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,881.76 จุด เพิ่มขึ้น 119.16 จุด หรือ +0.60% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,429.08 จุด เพิ่มขึ้น 45.96 จุด หรือ +0.85% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,257.83 จุด เพิ่มขึ้น 19.00 จุด หรือ +0.85% การซื้อขายคึกคักหลังตัวเลขภาคการผลิตเดือนธ.ค.และภาคก่อสร้างเดือนพ.ย.59 ออกมาแข็งแกร่ง
- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลงกว่า 2%...ขายทำกำไร & ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มลดการผลิตตั้งแต่ม.ค.60 เลยหรือไม่
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 1.39 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 52.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนมี.ค.ดิ่งลง 1.35 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 55.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับขึ้นในระหว่างซื้อขายเพราะมีความหวังว่าประเทศในกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกจะลดปริมาณการผลิตตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งต้องจับตาว่าจะลดได้จริงหรือไม่ โดยข้อตกลงเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.60 และสิ้นสุดกลางปี 60 และเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาหนุนค่าเงินดอลลาร์จึงมีการขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบ
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้น 0.9% ในวันแรกของการซื้อขายปี 60
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 10.3 ดอลลาร์ หรือ 0.89% ปิดที่ระดับ 1,162.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เป็นผลจากการซื้อเก็งกำไรในวันซื้อขายแรกของปี 60 แม้ว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์ยังคงยืนแข็งค่าเพราะตัวเลขภาคการผลิตและก่อสร้างสหรัฐออกมาดีก็ตาม
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดปี 60 จะมีการระดมทุนใหม่ 5.5 แสนลบ. (3.6% ของ Market Cap ปัจจุบัน)
นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่าในปี 60 คาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยหรือ บจ.จะระดมทุน ทั้งการเพิ่มทุนของบจ.และบริษัทน้องใหม่ที่เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น คิดเป็นมูลค่าตามราคาหลักทรัพย์รวมประมาณ 550,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 3.6% ของ Market Cap ณ สิ้นปี 2559 ที่ 15.079 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการขยายกิจการและการนำเงินไปใช้ในองค์กร เนื่องจากในปี 60 เศรษฐกิจไทยและทั่วโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน โดยเฉพาะไทยที่รัฐบาลมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าหลายแสนล้านบาท และผลพวงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้ภาคเอกชนกล้าที่จะใช้เงินในการลงทุนหรือขยายกิจการมากขึ้น
+ ธุรกิจประกันภัย : คาดปี 60 เติบโตได้ 4.8%
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่าในปี 2560 คาดว่าธุรกิจประกันวินาศภัยจะเติบโตได้ถึง 4.8% โดยมาจากเบี้ยในธุรกิจปกติ 2.0-3.2% และเบี้ยที่ได้จากโครงการของรัฐบาลอีก 1.6% เช่น เบี้ยโครงการประกันภัยข้าวนาปี 2,700 ล้านบาท คิดเป็น 1.3% และเบี้ยโครงการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (พีเอ) ให้กับผู้มีรายได้น้อยอีก 800 ล้านบาท คิดเป็น 0.3% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2-3.5% หรือมีเบี้ยรับรวม 2.1 แสนล้านบาท
+ กลุ่มท่องเที่ยว : กระทรวงฯปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ท่องเที่ยวปี 60 เป็น +8.17%YoY
นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยในการรายงานภาวะเศรษฐกิจท่องเที่ยวไตรมาส 4/59 ว่ากระทรวงฯได้ปรับเป้าหมายภาพรวมรายได้ทางการท่องเที่ยวปี 2560 เพิ่มเป็น 2.71 ล้านล้านบาท (+8.17%YoY) จากเป้าหมายเดิมที่ 2.6 ล้านล้านบาท โดยจากรายได้ 2.71 ล้านล้านบาท จะแบ่งเป็น รายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.78 ล้านล้านบาท (+8.54%YoY) และรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทย 930,000 แสนล้านบาท (+7.48%YoY)
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV Retail Research : เรายังคงมีมุมมองที่เป็นบวกกับภาคท่องเที่ยวของไทย แม้ว่าระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บ้านเมืองและการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับรุนแรงมาก เนื่องจากรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยกระตุ้นเข้ามา ทั้งการขยายวงเงินใช้จ่ายท่องเที่ยวมาลดหย่อนภาษีจาก 1.5 หมื่นบาทเป็น 3.0 หมื่นบาท/คน และการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย
สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น AOT (ราคาพื้นฐาน 455 บาท-พาร์ 10 บาท แต่คาดว่าบริษัทจะแตกพาร์เป็น 1 บาทได้สำเร็จ โดยจะประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติเรื่องนี้วันที่ 27 ม.ค.60) และ ERW (ราคาพื้นฐาน 5.80 บาท โดยคาดว่ากำไรปี 60 จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมีโรงแรมใหม่เข้ามาเพิ่ม คือ Hop Inn 2 แห่งในไทยและ 1 แห่งที่ฟิลิปปินส์ ประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้น)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]