- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 December 2016 16:24
- Hits: 37915
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
ขยับในกรอบแคบ? จากภาวะวันหยุดยาว ประกอบกับข่าวสารที่จะมากระทบ ที่ค่อนข้างเบาบาง โดยแม้ว่าเราจะคาดหวังถึงปรากฏการณ์ Window Dressing และเม็ดเงินจาก LTF แต่กิจกรรมดังกล่าวน่าจะลดลงเนื่องจากเป็นวันทำการสุดท้ายของปี ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน มีแนวโน้มทรงตัวใน 1-2 สัปดาห์จากนี้ จาก 2 ปัจจัยคือ ตลาดอาจรอความชัดเจนในการประชุม ระหว่าง OPEC และ Non-OPEC ในช่วง 21-22 ม.ค. ขณะเดียวกันตลาด FX น่าจะเกิดความผันผวนขึ้นบ้าง เนื่องจากจะเป็นช่วงใกล้เคียงกันกับที่ ทรัมป์ จะเข้าสาบานตนฯ ในวันที่ 20 ม.ค.
ยังแนะติดตามประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20/1/60 ที่คาดหมายการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ตามที่หาเสียงไว้ ซึ่งคาดทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ มีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีก ยังแนะจับตา ราคาสินค้า Commodity ที่ซื้อขายในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีราคาลดลง แต่ในทางตรงข้ามคาดส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มส่งออก จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงด้วย
ด้านภาวะเงินทุนไหลออกจากตลาด EM รวมถึงไทยยังต้องติดตาม โดยมีข้อสังเกตว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของสหรัฐในปี 2018 ขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 2.1 เป็น 2.3% ในช่วงระยะเวลาเพียงราว 2 เดือน ในขณะที่มุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจใน Emerging Market ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดต่างประเทศ DJIA -13.90, NASDAQ -6.47, S&P -0.66, FTSE +14.18, CAC -9.54 และ DAX -23.94
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบางช่วง สิ้นปี พร้อมๆ กับกระแสข่าวต่างๆ ที่เบาบางลง โดยตัวเลขผู้เข้ารับสวัสดิการการว่างงานออกมาที่ 265,000 ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์กัน ขณะที่ปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ กรณี สหรัฐ ขับไล่เจ้าหน้าที่ทูต รัสเซีย 35 ราย จากกรณี ต้องสงสัยว่ามีส่วนในการเข้ารบกวน (Interfere) การเลือกตั้งของสหรัฐ ตลาดเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก
ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ร่วงลงตามหุ้นกลุ่มธนาคาร นำโดยธนาคารแบงโก โปโปลาเรของอิตาลีที่ลดลงลง 3.8 % และหุ้นธนาคารแบงกา โปโปลาเร ดิ มิลาโนของอิตาลีรูดลง 3.5 % ในขณะที่ธนาคารสองแห่งนี้จะควบกิจการกัน เพื่อความอยู่รอด ด้านธนาคารเครดิต สวิสดิ่งลง 3.4 % หลังจากมีข่าวว่า ก.ล.ต. ของสหรัฐ กำลังสอบสวนเรื่องที่เครดิต สวิสขายพันธบัตร 850 ล้านดอลลาร์ที่ออกจำหน่ายโดยประเทศโมซัมบิก
ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.พ. -US$0.29 อยู่ที่ US$53.77ต่อบาร์เรล จากตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐปรับขึ้น 614,000 บาร์เรล สู่ 486.1 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐอาจดิ่งลง 2.1 ล้านบาร์เรล ทางด้านอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันร่วงลง 0.5 % สู่ 91.0 %
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ก.พ. +US$17.20 อยู่ที่ US$1,158.10 ต่อออนซ์ จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลง พร้อมๆ กับดอลลาร์สหรัฐ (Dollar Index) ที่ร่วงลง ขณะที่เยนแข็งค่าขึ้น สะท้อนความต้องการในสินทรัพย์เสี่ยงที่ลดลง ในช่วงสิ้นปี
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
18.5 1.95 3.05
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 35,814.48
สถาบัน 1,592.81
บัญชีหลักทรัพย์ -1,295.64
ต่างประเทศ -5,369.60
ในประเทศ -5,666.77
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +5,370 ล้านบาท สะสม YTD
+74,984 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
ประเด็นที่ต้องติดตาม 30 ธ.ค. 2559
30/12/59 สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนธ.ค.
และยังแนะจับตา
กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี 59 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ANAN, AP และ SPALI ในขณะที่ CPN จะได้รับประโยชน์ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK, STEC, SYNTEC
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น
ส่วน BANPU ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART และ ROBINS คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากค่าโฆษณาที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วง 1Q/60 และเรตติ้งที่อยู่ในอันดับต้นๆ เช่น WORK
(8) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจสนามบิน เช่น AOT จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.0348 อยู่ที่ 2.4769% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.42 อยู่ที่ 13.37
หุ้นแนะนำ : UNIQ
หุ้นแนะนำ
UNIQ : ราคาเป้าหมาย (ปี 2560) 30.00 บาท
ภายใต้แผนการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ของภาครัฐ ซึ่งคาดหน่วยงานต่างๆ เร่งรัดเปิดประมูลโครงการที่มีความพร้อม เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตตามเป้าหมาย คาดการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ทยอยเกิดขึ้นต่อเนื่องในปี’60 เบื้องต้นคาดมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.45 ล้านล้านบาท คาดยังเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในระยะยาว ที่คาดจะมีปริมาณงานใหม่เข้ามา และช่วยให้ Backlog เติบโตต่อเนื่อง
UNIQ มีความสามารถในการทำกำไรโดดเด่นสุดในกลุ่ม แม้ระดับ Backlog และรายได้งานก่อสร้าง ของ UNIQ จะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับ ITD, CK และ STEC แต่ภายใต้โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างปัจจุบัน จำนวน 7 โครงการ (ไม่รวมสายสีส้ม จำนวน 1 สัญญา ที่อยู่ระหว่างเจรจาต่อรอง) ทำให้ UNIQ สามารถควบคุมงานก่อสร้างทั้งคุณภาพและต้นทุนจากส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรอยู่ในระดับที่ดีและสูงต่อเนื่อง โดยมี Gross Profit Margin เฉลี่ย 17% และ Net Profit Margin เฉลี่ยประมาณ 7% โดดเด่นสุดในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น ITD, CK และ STEC
ประเมินราคาเป้าหมายปี’60 ที่ 30.00 บาท
นักวิเคราะห์ : จิตรลดาเลขาพันธ์ โทร .02-684-8788