- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 December 2016 17:42
- Hits: 18939
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้อ่อนลง (-4.45 จุดที่ 1504.12) การซื้อขายซบเซา แม้ว่าจะมีแรงซื้อจากกองทุน LTF เข้ามาแต่ดัชนีก็ขยับขึ้นไม่มาก รายย่อยซื้อสุทธิ ส่วนอีก 3 กลุ่มขายสุทธิแต่กลุ่มละไม่มาก สำหรับปัจจัยช่วงนี้ ได้แก่
+ ดอยซ์แบงค์ยอมจ่ายค่าปรับ 3.1 พันล้านUS$ ให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ...จบ Overhang
/- ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยืนระดับ 103+/- จุด หลังตัวเลข GDP Growth งวด 3Q59 สหรัฐออกมาแกร่งที่ +3.5% และนโยบายทรัมป์ช่วยหนุนด้วย...ประเด็นนี้กดดันราคาทองคำ และตลาดหุ้นเกิดใหม่แต่ก็ไม่ได้มีการขายแรงเพราะปรับพอร์ตไปบ้างแล้ว
+ แรงซื้อ LTF โค้งสุดท้ายช่วยพยุง แต่อาจไม่คึกคักมากเพราะตั้งแต่ปีนี้ LTF ต้องถือครอง 7 ปีปฎิทิน (เดิม 5 ปีปฎิทิน)
+ TISCO เข้าซื้อธุรกิจธนาคารรายย่อยจาก SCBT...เป็นบวกทั้งในระยะสั้น & ยาว แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 65 บาท
+ ธุรกิจโรงพยาบาลขยายตัวต่อเนื่อง โรงพยาบาลขนาดกลาง-เล็กจะเติบโตได้สูง ที่โดดเด่นใน DBSV Coverage คือ CHG และ LPH
+ ทยอยซื้อสะสม AOT รับการฟื้นตัวภาคท่องเที่ยวและการแตกพาร์เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย แนวโน้มระยะยาวแกร่งจากการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ
กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือ/สะสมหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยซื้อลงทุนหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น LPH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นลบ (ปิดลบและต่ำกว่า SMA10) ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกหรือซื้อที่แนวรับดัชนี 1500, 1490 จุด แนวต้านระยะสั้น 1510-1520, 1530 จุด
การ SCAN หุ้นพบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ TICON, SPALI, WICE หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ SYNEX, KAMART, SF หุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ WORK, LPN, FN หุ้นที่หลุด List คือ GLOBAL, TFG, RJH, UKEM
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ดอยซ์แบงก์"ยอมตกลงจ่ายเงินค่าปรับ 3.1 พันล้านดอลลาร์ให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ
ธนาคารดอยซ์แบงก์ บรรลุข้อตกลงจ่ายเงินค่าปรับ 3.1 พันล้านดอลลาร์ให้กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เพื่อยุติคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
+ สหรัฐ : GDP 3Q59 โตแกร่ง ภาคแรงงานชะลอเล็กน้อย การใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวต่อ
# ตัวเลขประมาณการขั้นสุดท้ายสำหรับจีดีพีไตรมาส 3/59 อยู่ที่ +3.5% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ +3.2% และสูงกว่าประมาณการครั้งที่ 1 ที่ +2.9% จากแรงหนุนของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
# จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 21,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 275,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 256,000 ราย
# การใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนพ.ย. +0.2%MoM น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ +0.3% ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลทรงตัวในเดือนพ.ย. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือนที่รายได้ไม่มีการปรับตัวขึ้น
- ตลาดหุ้นสหรัฐ ; อ่อนลงต่อ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,918.88 จุด ลดลง 23.08 จุด หรือ -0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,447.42 จุด ลดลง 24.01 จุด หรือ -0.44% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,260.96 จุด ลดลง 4.22 จุด หรือ -0.19% โดยเป็นผลจากการขายทำกำไรก่อนหยุดยาวช่วงคริสต์มาสและข้อมูลเศรษฐกิจผันผวน
+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นราว 1%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 52.95 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 55.05 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐช่วยหนุน แม้ว่าสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ก่อนจะเพิ่มเกินคาดก็ตาม
- ราคาทองคำ : อ่อนตัวต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 2.5 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ระดับ 1,130.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งทำให้ค่าเงิน US$ แข็งขึ้น ล่าสุด Dollar Cash Index ยืนอยู่บริเวณ 130+/- จุด
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/+ กลุ่มพลังงานหมุนเวียน : 12 บจ.ด้านพลังงานทดแทนสนใจร่วมประมูลงานในปี 60
GUNKUL, BCPG, TPCH, CWT, SUPER, SCN, FPI, ECF, TSE, GPSC, UAC, PSTC สนใจชิงเค้กการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในปีหน้า ซึ่งทางกกพ.จะเปิดประมูลรับซื้อไฟฟ้ากว่า 1,000 MW ในปี 60 รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคงค้างมาจากปี 59 ที่เปิดรับซื้อไม่ครบตามเป้าหมาย โดยโครงการแรกที่จะเปิดรับซื้อคือ ไบโอแก๊สพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ 8 MW ตามมาด้วยโครงการประมูลผู้ผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพและก๊าซชีวมวลทั่วประเทศจำนวน 400 MW ส่วนโครงการถัดไปเป็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 63 MW ส่วนโครงการขยะอุตสาหกรรมยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลก่อน สำหรับโครงการไฟฟ้าแสงอาทิตย์หน่วยราชการและสหกรณ์ 519 MWจะเปิดประมูลใน 2H60
+ LPH (ราคาปิด 9.20 บาท) : ปี 60 ยังเติบโตได้ดี
# ความสามารถในการทำกำไรของ LPH ในปี 59 เพิ่มขึ้น โดย 9M59 มีกำไรสุทธิ 124 ล้านบาท เติบโต 23%YoY ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มศูนย์เฉพาะทาง และ AMARC ซึ่งทำธุรกิจด้านแล็บและให้คำปรึกษา ทำกำไรดีขึ้น โดยธุรกิจนี้มีมาร์จิ้นสูงราว 40-50%
# เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 60 จะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง (ประมาณการไว้ที่ +23%) โดยมาจากการขยายบริการคนไข้ต่างประเทศ (เพิ่งเปิดศูนย์ตาใน Joint Commission International ให้บริการคนไข้ประกันและคนไข้ต่างชาติเมื่อส.ค.59 และเปิดศูนย์เลเซอร์และรักษาผิวหนังใน 4Q59) โดยเน้นลูกค้าในกลุ่มประเทศ CLMV และศูนย์เฉพาะทางอื่นๆ อีก (ปัจจุบันมี 5 ศูนย์ทำรายได้ 30% ของทั้งหมด) รวมถึงเปิดตึกใหม่ 6 ชั้น และขอโควต้าประกันสังคมเพิ่มอีก 5 หมื่นราย (ปัจจุบันมี 1.61 แสนรายซึ่งเต็มแล้ว) คาดว่าจะได้เพิ่มปี 61 และโรงพยาบาลกำลังศึกษาเรื่องการลงทุนอื่น หลังดีลการเข้าซื้อ/เช่าโรงพยาบาลเดชาไม่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งหาช่องทางเพิ่มบริการที่มีมาร์จิ้นสูง
# ในระยะยาว คือ ปี 63 จะมีรายได้จากโรงพยาบาลลาดพร้าว ลำลูกกา เข้ามาเสริม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยื่น EIA คาดว่าจะได้ใบอนุญาตก่อสร้างภายในปี 60 และเริ่มก่อสร้าง 2H60 แล้วเปิดบริการได้ในช่วงปลายปี 62 โรงพยาบาลนี้มีขนาด 180 เตียง และจะเพิ่ม 100 เตียงจากศูนย์พักฟื้นผู้สูงอายุ ระยะเวลาคืนทุน 7-8 ปี
# แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 10.90 บาท (DCF) ความเสี่ยงหลัก คือ ต้นทุนบุคคลากรแพทย์และพยาบาลที่สูงขึ้น แต่ LPH ก็ได้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มบริการที่มีมูลค่าเพิ่มมาชดเชยเพื่อให้มาร์จิ้นอยู่ในระดับที่ดีได้
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]