- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 22 December 2016 18:17
- Hits: 9172
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"เลือกซื้อลงทุนจังหวะอ่อนตัว"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิด -3.08 จุดที่ 1508.57 การซื้อขายซบเซาเพราะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุน (ขายสุทธิอีก 2.6 พันล้านบาท) แต่กองทุน LTF ยังเข้ามาพยุงตลาด เพียงแต่อาจไม่คึกคักมากเท่าก่อนเพราะปีนี้เริ่มขยายเวลาถือครองเป็น 7 ปีปฎิทิน (เดิม 5 ปีปฎิทิน) ปัจจัยสำคัญช่วงนี้ ได้แก่
+ โครงการลงทุนภาครัฐคืบหน้าขึ้น ล่าสุดรฟม.สรุปข้อตกลงกับ BEM ส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินแล้ว คาดเซ็นสัญญาช่วง 1Q60 & ให้ BEM บริหาร 1 สถานี (บางซื่อ-เตาปูน) ซึ่งจะเข้าครม.ปลายปีนี้ ... หุ้นเด่นในกลุ่ม Infrastructure คือ CK, STEC, BEM, SEAFCO, SCC, TMT
+/- แรงซื้อหุ้น Big Cap ของกองทุน LTF โค้งสุดท้ายปลายเดือนธันวาคม
-/ การเมืองต่างประเทศและภัยก่อการร้ายมีน้ำหนักมากขึ้น และสิ่งที่ควรระวังในระยะต่อไป คือ การขาย LTF ที่ครบกำหนดในเดือนม.ค.2560
กลยุทธ์ : ซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีช่วงราคาอ่อนตัว ส่วนเก็งกำไรตามรอบเน้นซื้อค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี หุ้นกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น BEM
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นลบ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก/หรือซื้ออ่อนตัว แนวเด้ง 1500-1490 จุด แนวต้านระยะสั้น 1520-1530 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ทางเทคนิค ที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ WORK, LPN, FN หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ SYNEX, KAMART, GLOBAL, TFG, SF, RJH, UKEM หุ้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ TISCO, BRR หุ้นที่หลุด List เป็น TOP
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
-/ ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนแรงลงจากแรงขายทำกำไร
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,941.96 จุด ลดลง 32.66 จุด หรือ -0.16% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,471.43 จุด ลดลง 12.51 จุด หรือ -0.23% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,265.18 จุด ลดลง 5.58 จุด หรือ -0.25% เนื่องจากแรงขายทำกำไร และราคาน้ำมันดิบลดลงกดดันในช่วงสั้น แต่ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยที่แข็งแกร่งช่วยพยุงไม่ได้ลงมาก หุ้นกลุ่มที่นำลง คือ กลุ่มสุขภาพ
+สหรัฐ : ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) ระบุว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.ปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.61 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2550 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 1.0% สู่ระดับ 5.50 ล้านยูนิต เพราะผู้บริโภคเร่งซื้อเพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้น
/- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 81 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 52.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 89 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 54.46 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนเพิ่ม 2.3 ล้านบาร์เรลสวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล จับตาการลดปริมาณการผลิตตามข้อตกลงซึ่งจะมีผลตั้งแต่ม.ค.60 ไปจนถึงกลางปี 60
ราคาทองคำ : ทรงๆ ... ขาดปัจจัยกระตุ้น
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 40 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 1,133.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ส.อ.ท.เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.สูงสุดในรอบ 20 เดือน
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของไทยเดือนพ.ย.พบว่าเพิ่มขึ้นต่อเป็นเดือนที่ 3 เป็น 87.6 จากเดือนต.ค.ที่ 86.5 และสูงสุดในรอบ 20 เดือน เพราะการลงทุนภาครัฐที่มีความคืบหน้าดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลช่วยหนุน รวมทั้งปลายปีเป็นเทศกาลจับจ่ายใช้สอยด้วย ส่วนดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าลดลงเป็น 102 จาก 102.9 ในเดือนต.ค.59 เพราะกังวลราคาวัตถุดิบ การปรับขึ้นอัตราค่าแรงงาน และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% ตามคาด
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำและยังไม่เป็นแรงกดดัน เศรษฐกิจไทยปี 60 ฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป ประเมินอัตราการเติบโตไว้ที่ 3.3%
ทางทีมกลยุทธ์ DBSV Retail Reserch มองว่าปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยปี 60 คือ การลงทุนภาครัฐ ภาคท่องเที่ยวที่ยังไปได้ดี และภาคส่งออกที่พลิกเป็นเติบโตได้ 1-2% จาก 0% ในปี 59 และการบริโภคที่ฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ต้องระวังเรื่องการนำอุปสงค์อนาคตมาใช้ในปัจจุบันจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย & ชอปช่วยชาติ นอกจากนั้นยังต้องติดตามเรื่องค่าเงินบาท ซึ่งจะถูกกระทบจากนโยบายทรัมป์และ Brexit ทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายอาจผันผวน
+ BEM (ราคาปิด 7.45 บาท) : สรุปเจรจาสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายกับรฟม.แล้ว คาดครม.อนุมัติ 1Q60
ผู้ว่าการรฟม.เปิดเผยว่าการเจรจางานเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 26.9 กม. ระยะเวลา 33 ปีสิ้นสุดปี 2593 (3 ปีงานก่อสร้างระบบรางและจัดหารถ และอีก 30 ปีเป็นบริหารเดินรถและซ่อมบำรุง) กับ BEM ได้ข้อยุติแล้วในขั้นตอนเจรจากับคณะกรรมการร่วมมาตรา 35 และมาตรา 45 ของพ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 หลังจากนี้จะเสนอให้สคร.พิจารณา (มีระยะเวลา 45 วัน) และเสนอให้ครม.พิจารณา (มีระยะเวลา 30 วัน) และรฟม.เสนอให้ BEM บริหารเดินรถ 1 สถานี (บางซื่อ-เตาปูน) ซึ่งจะเข้าพิจารณาในครม. 27 ธ.ค.นี้ ถ้าผ่านก็จะเซ็นสัญญาส่วนนี้วันที่ 29-30 ธ.ค.59
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBSV Retail Research : เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับ BEM โดยประเมินว่าไทยจะมีโครงการรถไฟฟ้าเกิดขึ้นอีกหลายสาย ขณะที่ผู้ประกอบการจัดหาและบริหารเดินรถมี 2 ค่าย คือ BEM และ BTS ทำให้โอกาสที่จะได้รับงานนั้นมีสูง และค่าย BEM เป็นของผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีประสบการณ์สูง คือ CK ซึ่งคาดว่าจะชนะประมูลงานเข้ามามากด้วย ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 8.20 บาท
KC (ราคาปิด 1.14 บาท) : ได้รับการยืดชำระหนี้ B/E 130 ล้านบาทเป็น 10 เม.ย.60
KC แจ้งว่าตามที่บริษัทได้ออกตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงิน (B/E) วงเงิน 130 ล้านบาท เสนอขายให้แก่กองทุนเปิดโซลาริสพริวิลเลจ 3 เอ็ม 4 (S-PFI 3M4) ของบลจ.โซลาริส อัตราดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี เมื่อ 15 ก.ย.59 และมีกำหนดชำระเงินในวันที่ 15 ธ.ค.59 บริษัทได้เริ่มผิดนัดชำระหนี้เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.59 เนื่องจากภาวะการชะลอตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะนี้ได้แก้ไขปัญหาโดยจดจำนองที่ดินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันให้กับกองทุนเปิดของบลจ.โซลาริสแล้วเมื่อวันที่ 15 และ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ดินที่จำนองมีมูลค่าประเมินทรัพย์สินครอบคลุมหนี้และดอกเบี้ย ทางบลจ.โซลาริส จึงได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เป็นวันที่ 10 เม.ย.60 โดยคงอัตราดอกเบี้ยที่ 7.5% ต่อปี ตามเดิม หากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ภายในวันที่ 10 เม.ย.60 บริษัทจะต้องชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตรา 15% ต่อปี ทั้งนี้ทาง KC จะดำเนินการขายที่ดินรอการพัฒนาที่ยังไม่มีนโยบายพัฒนาเป็นโครงการในระยะเวลาอันใกล้ เพื่อชำระหนี้คืนแก่บลจ.โซลาริส โดยคาดว่าจะสามารถชำระหนี้จำนวนดังกล่าวครบถ้วนภายใน 3 เดือน
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]