- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 December 2016 18:22
- Hits: 3748
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อค่าบวก/ถือเมื่อ SET เหนือ 1515'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวันศุกร์ปิดบวกเล็กน้อย 2.86 จุดปิดที่ 1522.51 มูลค่าซื้อขายไม่ได้คึกคักนัก โดยตลาดรับรู้ประเด็นสำคัญไปแล้ว (ล่าสุดคือ เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25%) ก็คงเหลือแต่การซื้อกองทุน LTF & RMF โค้งสุดท้ายของปีนี้ ด้านนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่ออีก 2 พันล้านบาท สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อตลาดช่วงนี้ ได้แก่
Dollar Index อ่อนลงหลังจบประชุมเฟดและขึ้นดอกเบี้ยตามคาด ล่าสุด 102.8 จากแข็งสุด 103.56 เมื่อ 15 ธ.ค.59...จับตาการเดินหน้านโยบายและมาตรการของทรัมป์ ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่
- จีนเข้ายึดโดรนใต้ทะเลสหรัฐ...กังวลความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจ ราคาทองปรับขึ้นรับข่าวนี้
กนง.ประชุม 21 ธ.ค.นี้ คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% เท่าเดิม เพราะเศรษฐกิจขยายตัวช้าและเงินเฟ้อยังไม่กดดันนัก
+ แรงซื้อ LTF โค้งสุดท้ายปลายเดือนธ.ค.ช่วยหนุนแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศและช่วยพยุงดัชนี...หุ้น Big Cap อยู่ในข่ายที่ได้ประโยชน์ เพราะกองทุนส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้ในพอร์ต
กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น GFPT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณค่อนไปทางบวก (ดัชนีปิดขยับขึ้นเล็กน้อยและเหนือ SMA10) ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ค่อยดี ลดพอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุนเมื่อ SET หลุด 1510 จุด แนวต้านระยะสั้น 1530-1540, 1550 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ทางเทคนิค ที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ TISCO, SYNEX, JMART, TOP, BRR, KAMART, TWP, GLOBAL, TWPC, CTW
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
ญี่ปุ่น : ยอดเกินดุลการค้า 1.525 แสนล้านเยนเดือนพ.ย.
ญี่ปุ่นรายงานยอดเกินดุลการค้ามูลค่า 1.525 แสนล้านเยนในเดือนพ.ย. ขณะที่ยอดการส่งออกในเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 0.4%YoY และยอดนำเข้าหดตัวลง 8.8%YoY ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่ดีนัก
- สหรัฐ : ตัวเลขเริ่มก่อสร้างบ้านเดือนพ.ย.ลดลง
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลง 18.7% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.09 ล้านยูนิต ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะลดลงสู่ระดับ 1.23 ล้านยูนิต ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านลดลง 4.7% ในเดือนพ.ย.
ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดอ่อนลงเล็กน้อย
ดัชนี DJIA ปิดที่ 19,843.41 จุด ลดลง 8.83 จุด หรือ -0.04% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,437.16 จุด ลดลง 19.69 จุด หรือ -0.36% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,258.07 จุด ลดลง 3.96 จุด หรือ -0.18% โดยมีปัจจัยกดดัน คือ การที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่าเรือรบของกองทัพจีนได้ยึดโดรนใต้ทะเลเพื่อใช้ในการลดตระเวนของสหรัฐในบริเวณทะเลจีนใต้ย่านที่เป็นน่านน้ำสากล ขณะที่ทางการสหรัฐได้เรียกร้องให้จีนส่งมอบโดรนดังกล่าวคืนให้กับสหรัฐ ซึ่งเหตุการณ์นี้กังวลว่าจะนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างจีนกับสหรัฐ
+ ราคาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นหลังความกังวลเรื่องอุปทานล้นน้อยลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 1.00 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 51.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 55.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ประเทศในกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกได้บรรลุข้อตกลงที่จะลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบไปแล้ว และบริษัทน้ำมันรายใหญ่สุดของรัสเซียยืนยันที่จะทำตามข้อตกลงดังกล่าว
โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในช่วง 2Q60 หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันสามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตและอุปสงค์เพิ่มขึ้น โดยได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI เป็น 57.50 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ BRENT เป็น 59 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ 56.50 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ ราคาทองคำ : ปรับขึ้นหลังกังวลความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 7.6 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 1,137.40 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่าเรือรบกองทัพจีนได้ยึดโดรนใต้ทะเลของสหรัฐ
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
กนง.ประชุม 21 ธ.ค.นี้...คาดคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5%
คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.จะประชุมครั้งสุดท้ายของปี 59 วันที่ 21 ธ.ค. ซึ่งเราและตลาดคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ทั้งนี้แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำและเศรษฐกิจก็ฟื้นตัวช้า จึงน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำก่อน และเราคาดว่ากนง.น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปตลอดปี 60 หากเศรษฐกิจขยายตัวในระดับ 3% กว่าๆ ซึ่งมองว่าต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็นของเศรษฐกิจไทย
+ หลักทรัพย์ที่เข้า/ออกจากการคำนวณใน SET50 และ SET100 ช่วงครึ่งแรกปี 60
หลักทรัพย์ที่เข้ามาคำนวณใน SET50 ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 (1 ม.ค.-30 มิ.ย.60) มี 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ GLOBAL, KKP, PTG, SPRC, THAI ส่วนหลักทรัพย์ที่ออก คือ BEC, MTLS, SAWAD, TASCO, TTW
หลักทรัพย์ที่เข้ามาคำนวณใน SET100 มี 8 หลักทรัพย์ ได้แก่ BIG, KAMART, SCN, SPRC, SUPER, THANI, TKN, VIBHA หลักทรัพย์ที่ออก คือ ANAN, BJCHI, ERW, GL, JWD, SVI, TRC, WORK
หลักทรัพย์ที่เข้ามาคำนวณใน SETHD มี 3 หลักทรัพย์ คือ THANI, THCOM, TMB หลักทรัพย์ที่ออก ได้แก่ ANAN, BJCHI, BLAND
สำหรับ PS ซึ่งอยู่ใน SET50, SET100 และ SETHD เนื่องจากบริษัทเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้นจึงนำ PSH เข้ามาคำนวณแทน **
ทั้งนี้การพิจารณานำหลักทรัพย์เข้ามาคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 ใช้เรื่อง Market Cap และสภาพคล่องในการซื้อขายเป็นสำคัญ ส่วนของ SETHD พิจารณาจากการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าตลาดรวมเป็นหลัก
สำหรับหุ้นที่เข้ามาคำนวณใน SET50, SET100 และ SETHD ที่ทางฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ DBSV ทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึก ประกอบด้วย THAI, BIG, TKN, TMB ซึ่งมีสรุปคาดการณ์กำไร, Valuation และคำแนะนำการลงทุน ดังตารางด้านล่างนี้
สรุปคาดการณ์กำไร, Valuation และคำแนะนำการลงทุน
Stock Price Target % EPS EPS P/E P/BV Div Yield ROE
(Bt) Price Upside Rcmd (Bt) Gwth(%) (x) (x) (%) (%)
(Bt) 16F 17F 16F 17F 16F 17F 16F 16F 16F
BIG 5.45 5.30* -3% Buy 0.24 0.26 84.6 8.3 22.7 21 13.3 1.8 72.8
THAI 23.3 23.5 1% Hold 2.1 2.41 -135.1 14.8 11.1 9.7 1.4 0 13.1
TKN 26.5 32 21% Buy 0.54 0.83 42.1 53.7 49.1 31.9 17.1 1.2 37.6
TMB 2.1 2.3 10% Hold 0.18 0.18 -16.8 0.9 11.8 11.7 1.1 2.9 9.8
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]