- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 December 2016 17:41
- Hits: 1224
บล.ซีไอเอ็มบี : Thailand Trading Picks(PM)
SET Index: แนวโน้มลงทดสอบ 1500
SET Index: 1523.09 ฟื้นตัวในกรอบแคบเหนือระดับ 1520 จุด หลังจากปรับตัวลดลงจากแรงขายที่บริเวณแนวต้าน 1530 จุด และเริ่มหลุดแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นลงไป ซึ่งเราคาดว่า โครงสร้างการเคลื่อนไหวของ SET Index ยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1470 จุด และมแนวต้านสำคัญที่ 1530 จุด ในระยะสั้นยังมีความเสี่ยงในการปรับตัวลดลงไปทดสอบ 1500 จุด
แนวต้าน : 1525 และ 1528
แนวรับ : 1520 และ 1515
AOT = 394 / 396, KBANK = 170 / 171, JAS = 8.40 / 8.60, CPALL = 62.00 / 62.50, BEAUTY = 12.20 / 12.50
LDC Dental (LDC TB; THB 1.57) – ซื้อ
แนวต้าน : 1.65 และ 1.70 / แนวต้านสำคัญ 1.80
แนวรับ : 1.57 และ 1.55
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในระยะสั้น ในขณะที่โครงสร้างในระยะยาวทะลุผ่านแนวโน้มขาลงขึ้นมาได้แล้ว
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นเคลื่อนไหวเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าใกล้ระดับ 70
แนะนำซื้อ LDC โดยมีแนวรับที่ 1.57 และ 1.55 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.65 และ 1.70 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 1.53 ลงไป
Asia Green Energy (AGE TB; THB 1.60) – ซื้อ
แนวต้าน : 1.69 และ 1.80 / แนวต้านสำคัญ 1.98
แนวรับ : 1.60 และ 1.58
ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค พร้อมด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ทำให้แนวโน้มหลักยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
MACD ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยในแดนบวก เครื่องมือทางเทคนิคชี้วัดแนวโน้มขึ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือแนวโน้มลง RSI ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 60
แนะนำซื้อ AGE โดยมีแนวรับที่ 1.60 และ 1.58 เพื่อคาดหวังการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1.69 และ 1.80 เป็นจุดขายทำกำไร
STOP LOSS ถ้าราคาหุ้นปิดต่ำกว่า 1.54 ลงไป
Analysts :
Teerasak Tanavarakul +662 657-9231 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Investment Strategy(AM)
SET...ซึมลง
ทิศทางดัชนี SET ในสัปดาห์นี้ คาดยังเคลื่อนไหวตามดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งกำลังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดกันว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงสัปดาห์นี้น่าเริ่ม Sideway down จากหลายปัจจัยกำลังกดดัน ทั้งค่าเงินดอลลาร์แข็งตัวขึ้นสร้างสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร 10 ปีพุ่งขึ้นเหนือ 2.5%และกำลังขึ้นไปเล่นที่ค่า P/E สูงถึง 20.8 เท่า เทียบค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า นอกจากนั้นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ 2.07% เทียบอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร 10 ปีที่ 2.6% ที่สำคัญดัชนีดาวโจนส์ที่ขึ้นมาในระดับปัจจุบันเหลือช่องให้ขึ้นพียง 2.9% เทียบกับดัชนีเป้าหมายที่นักวิเคราะห์คาดในครึ่งปี 2017 โดยนักวิเคราะห์ คาดเป้าหมายเฉลี่ยของดัชนีดาวโจนส์ในครั้งปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 20,400 จุด
ภาวะโดยรวมในสัปดาห์นี้คาด ตลาดหุ้นในภูมิภาค จะยังคงแกว่งในกรอบแคบๆ จากการที่ตลาดหุ้นในต่างประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงหยุดยาว โดยเราคาดว่าทิศทางตลาดหุ้นไทย ยังมีสิทธิที่จะอ่อนตัวลง หลังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ๆ ส่วนผลการปรับ ครม. คาดไม่ส่งผลต่อตลาดเนื่องจากเป็นการปรับในกระทรวงไม่สำคัญ ประเด็นที่ส่งผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้ คือ ราคาน้ำมันและค่าเงินบาท โดยราคาน้ำมันคาดยังแกว่งในกรอบแคบๆ ส่วนค่าเงินบาท ยังมีทิศทางอ่อนตัวลง
ดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรมของตลาดหุ้นไทยในช่วงปีนี้ กลุ่มที่ขึ้นมากที่สุด คือกลุ่ม สินค้าเกษตร ตามมาด้วย ค้าปลีก พลังงาน อาหาร-เครื่องดื่ม ส่วนกลุ่มที่ขึ้นได้น้อยกว่า SET คือ ธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ จากรูปด้านซ้าย เราจะพบว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ดัชนีกลุ่มขึ้นได้พียง 1% ส่วนกลุ่มที่ยังติดลบ คือ บันเทิง โรงแรมและประกัน แรงหนุนหุ้นในกลุ่มเกษตร ที่มีอย่างต่อเนื่องเนื่อง จนดัชนีกลุ่มขึ้นจากต้นปีถึงปัจจุบันที่เกือบ 50% น่าจะเริ่มแผ่วๆ ลง เพราะราคาหุ้นแต่และตัวในกลุ่มปรับตัวขึ้นมาสูงมากๆ ส่วนกลุ่มที่เรามองว่าน่าจะขยับขึ้นในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า คือ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม รวมทั้งบันเทิง หลังราคาหุ้นหลักๆ ยังขึ้นได้น้อย อย่าง CBG MALEE และ MAJOR
หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เรามองว่าผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย จะมีไม่มาก แต่ในช่วงสั้นๆนี้ อาจจะได้รับผลจากการไหลออกของเม็ดเงิน โดยที่ผ่านมาผลของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของสหรัฐ จะส่งผลด้านลบกับตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นประมาณ 1 เดือน กล่าวคือ ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น น่าจะซึมตัวลงไปถึงกลางเดือนหน้า แล้วหลังจากนั้นจะค่อยๆฟื้นตัว สำหรับผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยหลังสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย เรามองว่าเปิดขึ้นมาในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. ปีหน้า ดัชนี SET น่าจะเผชิญกับแรงขายของต่างชาติรวมทั้งเม็ดเงินจาก LTF จนส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลง เหมือนต้นปี 2016
วันนี้คาดดัชนี SET จะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ทั้งด้านบวกและลบ หลังตลาดหุ้นในภูมิภาคและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามอาจมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานสลับเข้ามา โดยวันนี้มองดัชนีเปิดขึ้นมาในแดนบวก แล้วจะค่อยๆเผชิญกับแรงขายจนลงไปติดลบ โดยมองแนวต้านที่ 1526-1530 จุด ส่วนแนวรับที่ 1515-1510 จุด วันนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไร STEC MAJOR HANA และ CBG
Analysts :
Kiatkong Decho +662 657-9236 [email protected]
บล.ซีไอเอ็มบี : Trend Spotter(AM)
Investment Strategy
กลยุทธ์: หลัง FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เรามองว่าผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย จะมีไม่มาก แต่ในช่วงสั้นๆนี้ อาจจะได้รับผลจากการไหลออกของเม็ดเงิน โดยที่ผ่านมาผลของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของสหรัฐ จะส่งผลด้านลบกับตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นประมาณ 1 เดือน กล่าวคือ ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น น่าจะซึมตัวลงไปถึงกลางเดือนหน้า แล้วหลังจากนั้นจะค่อยๆฟื้นตัว สำหรับผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยหลังสหรัฐขึ้นดอกเบี้ย เรามองว่าเปิดขึ้นมาในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค. ปีหน้า ดัชนี SET น่าจะเผชิญกับแรงขายของต่างชาติรวมทั้งเม็ดเงินจาก LTF จนส่งผลให้ดัชนี SET ปรับตัวลง เหมือนต้นปี 2016 วันนี้คาดดัชนี SET จะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ทั้งด้านบวกและลบ หลังตลาดหุ้นในภูมิภาคและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตามอาจมีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานสลับเข้ามา โดยวันนี้มองดัชนีเปิดขึ้นมาในแดนบวก แล้วจะค่อยๆเผชิญกับแรงขายจนลงไปติดลบ โดยมองแนวต้านที่ 1526-1530 จุด ส่วนแนวรับที่ 1515-1510 จุด วันนี้แนะนำ ซื้อเก็งกำไร STEC MAJOR HANA และ CBG
Themes play :
SPRC : เราแนะนำ ซื้อ SPRC โดยมีราคาเป้าหมาย 14 บาท จากประเด็นบวกในเรื่องที่ตลาดฯ ได้มีการประกาศนำหุ้น SPRC เข้าไปในการคำนวณดัชนี SET50 ในงวด 1H17 นอกจากนั้นแล้วผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59 ยังคาดว่าจะฟื้นตัวตามค่าการกลั่นที่ดีขึ้นและยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันอีกด้วยหลังจากที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เรามองเห็นปัจจัยบวกสนับสนุนราคาหุ้น SPRC ที่จะทำให้บริษัทยังมีกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งจากการมี 1) โครงสร้างต้นทุนต่ำ, 2) อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7% และ 3) การประเมินมูลค่าหุ้นน่าสนใจที่ P/E 6.8x ในปี FY17 (TOP 8.3x) ขณะที่ปัจจัยผลักดันราคาหุ้นจะมาจากการฟื้นตัวของค่าการกลั่นและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น SPRC มีเงินสดในมือสูงถึง 1.6 พันล้านบาท ณ สิ้น 3Q16 ทำให้เราเชื่อว่าบริษัทจะจ่ายปันผลอย่างน้อย 50% ของกำไรสุทธิ เท่ากับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 7% โดยเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกเพราะมีโครงสร้างต้นทุนต่ำ ผลผลิตโดดเด่นและความยืดหยุ่นในการใช้น้ำมันดิบ (crude flexibility) สูง
ประเด็นในสัปดาห์
21 ธ.ค. : การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตลาดคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%
21 ธ.ค. : สหรัฐประกาศตัวเลข Existing Home Sales เดือนพ.ย. จากเดือนก่อนหน้าที่ 5.6 ล้านยูนิต
22 ธ.ค. : สหรัฐประกาศตัวเลข GDP Annualized QoQ ไตรมาส 3/59 โดยตลาดคาด 3.3% จากเดือนก่อนหน้าที่ 3.2%
22 ธ.ค. : สหรัฐประกาศตัวเลข Personal Consumption ไตรมาส 3/59 จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.8%
Technical Pick:
กลยุทธ์ : SET Index มีแนวรับ 1510 จุด และแนวต้าน 1530 จุด
ASEFA (ASEFA TB; THB 7.80) - ซื้อ
Thai Wah (TWPC TB; THB 9.00) - ซื้อ
SET Index : แกว่งในกรอบ
Retail Research Team