- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 December 2016 17:38
- Hits: 11474
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
รอบด้านตลาดหุ้น
เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นไปตามคาด แต่สิ่งที่ตลาดกังวลคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2017 อาจปรับขึ้นอีก 3 ครั้ง เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของโดนัล ทรัมป์ ส่งผลกระแสเงินลงทุนอาจไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามเราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงไม่มาก แนวรับดัชนีบริเวณ 1515 จุด (เส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน) จะทำหน้าที่เป็นแนวรับในระยะสัปดาห์ได้อย่างแข็งแกร่ง เราคาดว่าหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นตัวหนุนให้ดัชนีตลาดยืนได้ นอกจากนี้เราคาดว่าน่าจะมีเงินไหลเข้าจากการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ LTF เพื่อการลดหย่อยภาษีในช่วงปลายปี
คำถาม: กองทุนในประเทศจะซื้อหุ้นเดือนธันวาคมหรือไม่? คำตอบ: ในอดีตเรามักจะพบว่ากองทุนในประเทศจะเข้าซื้อหุ้นในช่วงเดือนธันวาคม ดังนั้นมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นที่ลดลงอาจจะชดเชยจากการไหลเข้ามาของเงินกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพในช่วงสิ้นปีนี้ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีขึ้น
แนวโน้มตลาดสัปดาห์นี้คาดว่าจะพักตัวบนแนวโน้มขาขึ้น ในกรณีที่ตลาดยืนเหนือกรอบแนวรับ 1490-1500 จุดได้ จับตาปัจจัยสำคัญกระแสเงินลงทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ค่าเงินสกุลเอเชียเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นในภูมิภาคและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หากยังส่งสัญญาณเชิงบวก ตลาดก็จะอยู่ในภาพของการพักตัวเพื่อขึ้นต่อ ทั้งนี้หากไม่มีปัจจัยลบที่มีนัยสำคัญ ดัชนีตลาดโดยรวมยังมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไปได้
เราจะเลือกซื้อหุ้นอะไร?
เราคาดว่าหุ้นที่น่าสนใจและมีโอกาสดีดขึ้นได้ดีภายใต้ เงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. หุ้น Leading Stock เป็นหุ้นนำกลุ่มและส่งสัญญาณแข็งแกร่งมากกว่าตลาด
2. หุ้นที่เกิดสัญญาณกลับตัวเป็นขาขึ้น Pivot point
3. หุ้นที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น-กลาง Golden cross
4. วอลุ่มการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สรุป: เรายังคงให้นำหนักในทิศทางบวกลักษณะปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ แนวโน้มระยะสั้น SET ประเมินแนวรับ 1490-1500 / แนวต้าน 1520 จุด ทะลุได้มองแนวต้านถัดไปที่ 1550 จุดจุด
Hope for window dressing
วันนี้คาดดัชนีฯ มีโอกาสรีบาวด์ แต่ไม่ไกล แนวต้าน 1,530 จุด หลังเมื่อวานลงไปทดสอบแนวรับ 1,515 จุด และไม่หลุด กลับขึ้นมายืนเหนือแนวรับได้อีกครั้ง สัปดาห์หน้าคาดเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการทำ Window dressing วันนี้แนะเลือกเล่นรอบรายตัวดัก Window dressing ที่จะเกิดขึ้นและเพิ่มการเล่นรอบหุ้นที่มีนัยยะทางสถิติปรับขึ้นช่วงสิ้นไตรมาส
ปัจจัยหนุนคาดมาจาก ศาลล้มละลายกลาง อนุมัติแผนปรับโครงสร้างหนี้ SSI ส่งผลบวกต่อธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ได้แก่ SCB KTB และ TISCO และยังส่งผลให้ NPL ของระบบธนาคารปรับลดลง และเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มธนาคารโดยรวม
ส่วนแนวโน้มสัปดาห์หน้า เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี คาดหวัง Window dressing แนะเลือกเล่นรอบรายตัว เพิ่มการเล่นรอบหุ้นที่มีนัยยะทางสถิติปรับขึ้นช่วงสิ้นไตรมาส คงคาดรอบนี้ หากลงรับข่าวเฟดแล้ว ยังไม่หลุด 1,515 จุด คาดมีโอกาสรีบาวด์อีกครั้ง แนวต้านเดิม 1,545 จุด ส่วนกรณีหลุด 1,515 จุด คาดลงสร้างฐานใหม่ 1,503 จุด
ระยะเดือน ธค. คาด แรงขายต่างชาติเริ่มชะลอลงในเดือน ธค. และมีโอกาสที่เดือน มค. ปีหน้า จะเกิด January effect เหมือนกับปี 2012-13 และ 15 ที่ดัชนีหุ้นขึ้นในช่วงเดือน มค. อิงสมมุติฐานต่างชาติถือหุ้นไทยเหลือเพียง 29% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี และ หากคำนวณเม็ดเงินต่างชาติที่สามารถซื้อหุ้นไทย กลับไปสัดส่วนเฉลี่ย ที่ 32% คาดเม็ดเงินไหลมีโอกาสไหลเข้าได้ถึง 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งตามสถิติ เงินต่างชาติจะไหลเข้าช่วง มีค.เพื่อรับปันผลจากผลการดำเนินงานของปีที่ผ่านมา (แนะซื้อดัก)
หุ้นแนะนำวันนี้
หุ้นในสายตากองทุนคาดมีโอกาส window dressing: AOT RJH COM7
AOT รับ 395 บาท/ ต้าน 410 บาท / stoploss 390 บาท
RJH รับ 25 / ต้าน 26.5 / stoploss 24.8 บาท
COM7 รับ 14 บาท/ ต้าน 14.8 บาท / stoploss 13.7 บาท
เก็งกำไร ILINK ITEL วานนี้กลุ่มบริษัทประกาศได้รับงานจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเพิ่ม (ILINK รับ 19.7 บาท/ ต้าน 21.4 บาท / stoploss 19.5 บาท) (ITEL รับ 11.3 บาท/ ต้าน 12.9 บาท / stoploss 11 บาท)
รายงานพื้นฐาน BLS วันนี้
(+) กลุ่มธนาคาร SCB, KTB และ TISCO วานนี้ ศาลเห็นชอบแผนฟื้นฟู SSI นั่นหมายความว่าหนี้จาก SSI จะปรับเปลี่ยนไปสู่สินเชื่อปกติจาก NPL คาด 3 ธนาคารได้รับประโยชน์โดยเราคาด NPL SCB จะลงจาก 2.9% เหลือ 2.4%, KTB จาก 4.2% เหลือ 3.7% และ TISCO จาก 3% เหลือ 2.7% ส่วน LLR (สำรองหนี้) SCB คาดเพิ่มจาก 127% เป็น 157% TISCO เพิ่มจาก 107% เป็น 121% และ KTB เพิ่มจาก 104% เป็น 119% หนุนให้กำไร 4Q16 และปีหน้ามีโอกาสจะดีกว่าคาด จากการตั้งสำรองที่จะน้อยลง เรามีการปรับประมาณการกำไร KTB ขึ้น 7% ในปี 2016 และ 3% ปี 2017 จากก่อนหน้านี้เรามีมุมมองเชิงลบเกินไปที่คาดจะต้องมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมอีกใน 4Q16 เรามอง SCB เป็นบวกมากที่สุดและเป็น top pick ในกลุ่มธนาคาร
(-) TVO แม้ว่าราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทางจิตวิทยาที่ US$10-10.5/บุชเชล ในเดือน ธ.ค. จากมูลค่าของน้ำมันถั่วเหลืองที่ปรับตัวสูงขึ้น (ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก) แต่ภาพปัจจัยทางพื้นฐานของถั่วเหลืองยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากข้อเท็จจริงที่ว่าผลผลิตถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงและสต็อกปลายงวดของสหรัฐฯ ก็เช่นกัน เรายังคงคำแนะนำ ถือ รับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 6%
(0) PSH เรามองว่านักลงทุนควรรอจังหวะซื้อสำหรับ PSH เนื่องจากเราคาดว่าข่าวร้ายจากยอดจองซื้อและรายได้ที่ต่ำกว่าคาดจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดในม.ค. 1/2560 อย่างไรก็ตาม เรามองว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะไม่มีผลมากนักจาก Valuation ที่ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ที่ PER ปี 2560 ที่ 7 เท่า (ค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง ปี 2549-2558 อยู่ที่ 8.9เท่า) และผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงในระดับ 4.3% ในครึ่งหลังของปี 2559 และ 7.1% สำหรับปี 2560 เราคงคำแนะนำซื้อสำหรับ PSH ที่ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท คิดเป็น PER ปี 2560 ที่ 8 เท่า
หุ้นมีข่าว/ประเด็น
(+) ดัชนี FTSE ใหม่ มีผล 19 ธค. เป็นต้นไป FTSE SET Large Cap Index: BJC
ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 4 หลักทรัพย์ BAFS BCPG SCCC TFG
ดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 15 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ ได้แก่ ABC ALT AMATAV ASEFA BAFS BCP BTSGIF CFRESH GOLD PTL SCC SVI TKN UV VNT ที่มา ตลท.
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
(0) ศุกร์ US Housing starts พย. คาด +1.23 ล้านยูนิต จาก 1.32, EU area เงินเฟ้อ HICP พย.คาด +0.6% คงที่ ส่วน Core CPI คาด +0.8% (ที่มา Bloomberg)
ธนรัตน์ อิศรกุล, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน