- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 December 2016 17:00
- Hits: 2065
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : ---
Our Portfolio Dec 2016 : BEAUTY, BEM, CK, HMPRO, MINT
แม้ upside เริ่มเหลือน้อย แต่ยังแนะนำรอทยอยทำกำไรช่วงบวกดีกว่า
ตลาดหุ้นวานนี้ : แม้ SET จะปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ตามภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ไหลลง หลังที่ประชุมเฟดมีมติขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในการประชุมปีหน้า แต่กรอบลบของ SET ไม่ได้รุนแรงมากนัก และยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาพยุงตลาดไว้ได้ดี ทำให้เคลื่อนไหวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคพอควร
แนวโน้มตลาดวันนี้ : แม้การขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะกดดันตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ซึมซับข่าวดังกล่าวมาพอควรแล้วขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังออกมาดูดี รวมถึงจำ นวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ลดลงมากกว่าคาด ช่วยกระตุ้นให้ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปส่วนใหญ่ยังกลับมาปิดบวก นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ฟื้นตัวได้เล็กน้อย หลังจากไหลลงแตะระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้หลายแห่งเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้แกว่งตัวด้านบวกได้อีกครั้งส่วน SET ก็ยังมีลุ้นเม็ดเงิน LTF/RMF ช่วงโค้งสุดท้ายของปีที่จะเข้ามาพยุงตลาดต่อได้ ดังนั้น FSS ยังคาดว่า SET จะยังแกว่งทรงตัวเพื่อลุ้นโอกาสขยับบวกได้อีกตามคาด แต่ก็ต้องตามระวังการผันผวนหลังค่าเงินบาทยังอ่อนตัว
กลยุทธ์ : แม้ upside ของ SET ที่เราประเมินไว้จะเริ่มเหลือน้อย จนน่าแบ่งส่วนทยอยทำกำไรเพื่อลดพอร์ตบ้าง แต่ยังแนะนำรอทำกำไรช่วงบวกดีกว่า
แนวรับ 1518-1513 , 1510-1505 จุด
แนวต้าน 1521-1524 , 1528-1532 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : MEGA , WICE , TTCL(short)
Fund Flow วานนี้เงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$45ล้าน ส่วนใหญ่ไหลออกจากกลุ่ม TIP นำโดยอินโดนีเซีย US$47ล้าน ไทย US$41ล้าน และฟิลิปปินส์US$36ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ US$37ล้าน และไต้หวัน US$43ล้าน แนวโน้มเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคก่อนหยุดคริสต์มาสและปีใหม่ กลับเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อประเมินการจัดสรรเงินลงทุนอีกครั้งภายหลัง Fed ส่งสัญญาณทิศทางอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมากกว่าคาด
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
• (+) รมว.คลังคาด GDP ไทยปีหน้าโตไม่ต่ำกว่า 3.4% ยังไม่รวมเม็ดเงินจากเมกะโปรเจ็คท์ของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยหนุน GDP ได้อีก 0.2-0.3% แหล่งเงินลงทุนจะใช้จากในประเทศเป็นหลักซึ่งมีสภาพคล่องสูง เราเชื่อว่าไม่กดดันให้ดอกเบี้ยในประเทศขยับขึ้น ขณะเดียวกันแม้เงินบาทจะมีทิศทางอ่อนค่าแต่เชื่อว่าเม็ดเงินไหลออกไม่รุนแรง การขึ้นดอกเบี้ยจึงไม่จำเป็น ขณะที่โอกาสที่กนง.จะลดดอกเบี้ยมีน้อยลงมากหลัง Fed ขึ้นดอกเบี้ย เราคาดกนง.จะดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตลอดทั้งปี 2017
• (+) กลุ่ม CKST ชนะประมูลสัญญา 5 ของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ทำให้กลุ่ม CKST (CK& STEC) ได้งานมากที่สุดในโครงการนี้คือได้ 3 ใน 6 สัญญา มูลค่ารวม 4.72 หมื่นล้านบาทหรือ 59% ของมูลค่างานทั้งหมด ขั้นตอนต่อไปเหมือนสัญญาอื่นๆคือรฟม.จะเจรจาต่อรองราคาและรายละเอียดอื่น คาดเจรจาแล้วเสร็จ ม.ค. ปีหน้า และเซ็นสัญญาภายในมี.ค. 2017 การประมูลทั้ง 6 สัญญานี้เป็นงานโยธา ส่วนการประมูลหา Operator ผู้เดินรถของสายสีส้มทั้งฝั่งตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) และตะวันตก (ศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน) คาดประมูลปลายปีหน้า เราเชื่อ BEM มีโอกาสสูง แต่ในส่วนของกลุ่มรับเหมา เราชอบ CK (ราคาพื้นฐาน 44 บาท) มากสุดในกลุ่ม
• (+) BEM ลุ้นการเจรจารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และ หัวลำโพง-บางแค ได้ข้อสรุปวันนี้ สำหรับส่วนเชื่อมต่อ 1 สถานีที่เตาปูนของสายสีม่วง กับบางซื่อของสีน้ำเงิน อยู่ระหว่างเสนอก.คมนาคมและครม.ให้พิจารณาภายในเดือนนี้ ใช้เวลาก่อสร้าง 6 เดือน เปิดเดินรถได้ภาย ส.ค. 2017 ยังแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 12 บาทโดยรวมส่วนต่อขยายของสีน้ำเงินแล้ว
• (+) SCB วานนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของ SSI ในบรรดาธนาคารเจ้าหนี้อย่าง SCB, KTB, TISCO เรามองว่า SCB ได้ประโยชน์มากสุดเพราะน่าจะย้ายสำรองฯของ SSI เป็นสำรองส่วนเกิน ทำให้ NPL ลดลงต่ำกว่า 2.5% Coverageratio เพิ่มเป็น 150% ทำให้การตั้งสำรองหนี้สูญในปี 2017 ผ่อนลง ทุกๆการลดลงของCredit cost 0.1% จะมีผลต่อกำไรสุทธิ 3% SCB ยังเป็น Top Pick ของกลุ่มแบงก์ ราคาพื้นฐาน 174 บาท ส่วน KTB มี NPL สูงอยู่แล้ว กรณี SSI ช่วยอะไรไม่ได้มาก ขณะที่TISCO มีหนี้น้อยมากใน SSI Thailand จึงไม่ได้ผลบวกมากนัก
• (+) แนวโน้มราคาน้ำตาลโลกสดใสในปี 2017 จากภาวะขาดดุลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันราว 8-9 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มน้ำตาลทั้งหมด แต่เราชอบ KSL (ราคาพื้นฐาน4.80 บาท) มากสุดเพราะฟื้นทุกธุรกิจ ธุรกิจน้ำตาล KSL ทยอยล็อกราคาขายส่งออกของปีหน้าไปแล้ว 70% ที่ราคาสูงขึ้นจากปีนี้ 29-35% ส่วนธุรกิจไฟฟ้าและเอธานอลดีขึ้นตามความต้องการที่เพ่มขึ้น แต่ราคาหุ้นใกล้เต็มมูลค่า แนะนำซื้ออ่อนตัว
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
16 ธ.ค. - สหรัฐ: Housing starts, Building permits (พ.ย.)
20 ธ.ค. - ไทย: ยอดขายรถ (พ.ย.)
- ญี่ปุ่น: BOJ ประชุม
21 ธ.ค. - ไทย: กนง.ประชุม (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%)
- สหรัฐ: ยอดขายบ้านเก่า (พ.ย.)
22 ธ.ค. - ไทย: AMA เข้าเทรด (ราคา IPO 9.99 บาท)
- ฟิลิปปินส์: ธนาคารกลาง (BSP) ประชุม
- สหรัฐ: 3Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย ตลาดคาดดีขึ้นเล็กน้อยจาก
3.2% เป็น 3.3%)
23 ธ.ค. - ไทย: AU เข้าเทรด (ราคา IPO 4.50 บาท)
26 ธ.ค. - ไทย: ดุลการค้า (พ.ย.)
27 ธ.ค. - ไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราใช้กำลังการผลิต (พ.ย.)
30 ธ.ค. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน พ.ย.
1 ม.ค. - จีน: Manufacturing & Non-manufacturing PMI (ธ.ค.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมากลับมาปิดในแดนบวกได้หลังเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนได้ตอบรับข่าวเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยรวมถึงการส่งสัญญาณในปีหน้าของ FED ไปแล้ว
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดบวกได้ค่อนข้างดีตอบรับผลการประชุม FED ที่ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณขึ้นอีก 3ครั้งในปีหน้า
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมโดยตลาดได้ตอบรับผลการประชุมและการส่งสัญญาณของ FED ไปมากแล้ว
(-) ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวค่อนมาในทางอ่อนค่า โดยล่าสุดแกว่งตัวในกรอบ 35.70-35.80 บาท/ดอลลาร์
(0) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ลดลง 0.14 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 50.90 ดอลลาร์/บาร์เรล จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างไรก็ตามราคาน้ำมันเริ่มดีดตัวกลับมาได้จากปัจจัยด้านการปรับลดกำลังการผลิตของ OPEC
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ร่วงแรง 33.90 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,129.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ตอบรับ FED ที่ขึ้นดอกเบี้ย0.25% และส่งสัญญาณว่าจะขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งเป็นลบต่อทองคำ
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research