- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 14 December 2016 18:55
- Hits: 2260
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ยังผันผวน ต่างชาติกลับมาขาย แม้ได้แรงหนุนหุ้นน้ำมัน หุ้นรับเหมาฯ และหุ้นค้าปลีก หลังผลประมูลไฟฟ้าชัดเจนมากขึ้น และรัฐออกมาตรการช็อปช่วยชาติ (หนุน CK, UNIQ, STEC, ITD, BJC, ROBINS) และยังมีแรงซื้อสถาบันในประเทศ (LTF + Window Dressing) ยังเลือก SCC (FV@B610), BJC(FV@B64) และ UNIQ(FV@B25) เป็น Top picks
(+) ช็อปช่วยชาติ มาตามนัด ดีต่อหุ้นค้าปลีก ชอบ BJC, ROBINS
หลังจากรอกันมาสักพัก วานนี้ ครม. ได้อนุมัติมาตรการช็อปช่วยชาติ โดยให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาลดหย่อนหย่อนภาษีวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท (ยกเว้นสินค้าประเภท เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ยาสูบ น้ำมัน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ) มีผลตั้งแต่ วันนี้-31 ธ.ค. 2559 เป็นเวลา 18 วัน ซึ่งถือว่ามีระยะเวลานานขึ้นเมื่อปี 2558 ที่มีเวลาเพียง 7 วัน (25-31 ธ.ค.58) ซึ่ง ครม. ประเมินว่าจะช่วยกระตุ้นยอดใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท เทียบกับ 9 พันล้านบาทในปี 2558 เท่ากับหนุนการบริโภคภาคเอกชน (C) ในงวด 4Q59 ขยายตัว 3.2%yoy เพิ่มขึ้นจาก 2.8%yoy ใน 4Q58 ซึ่งการใช้จ่ายลดลง จากผลกระทบของเหตุการณ์โศกเศร้าในปัจจุบัน
ในด้านหุ้นถือว่าดีต่อหุ้นค้าปลีกในระยะสั้น ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าอุปโภคบริโคที่จำเป็น ซึ่งน่าจะ สอดคล้องกับจำนวนเงิน 1.5 หมื่นบาทได้มากสุด โดยเฉพาะ ROBINS (FV@B75) ซึ่งขายสินค้า fashion สีดำ ขณะที่ BJC(FV@B64) ซึ่งถือหุ้น BIGC 97.74% น่าจะได้ประโยชน์รองลงมา แต่ BJC มีข้อดี 2 ประการคือ ปี 2560 EPS growth สูงสุด 19% (กำไรสุทธิเติบโต 84%) ดีขึ้นจากทรงตัวในปี 2559 เนื่องจากเพิ่มทุน 2 รอบ (RO ราคาหุ้นเพิ่มทุน 35 บาท) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Dilution Effection (60%) และยังมีโอกาสนำไปคำนวณใน SET50 ในต้นปี 2560
นอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งในไทย ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบจากการแข่งขันที่รุนแรง และสะท้อนในงวด 3Q59 ที่ชัด เช่น การปรับปรุงพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น/ลดพื้นที่ขาย (BIGC, ROBINS), ลดสินค้าที่มี gross margin (BIGC) สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อจับลูกค้าใหม่ เช่น HMPRO เปิดร้าน BIKE CLUB หรือ ROBINS เปิดแผนก Just buy และ One below format และ CPALL เตรียมเปิดร้านกาแฟเบลินี่ ชูจุดขายเบเกอรรี่อบสด ในห้างโลตัส และ Community Malls ขณะที่เดียวกันทุกรายยังขยายสาขาใหม่เพิ่มเติม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงยังให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มค้าปลีก ยังให้น้ำหนักเท่ากับตลาด โดยยังชื่นชอบ BJC มากสุด เติบโต รองลงมาคือ ROBINS (ติดตามอ่านรายละเอียดบทวิเคราะห์กลุ่มค้าปลีก ใน Equity Talk วันนี้)
(0) เชื่อ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% รอบนี้ และขึ้นอีก 1% ปีหน้าเป็นอย่างน้อย
การประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือ (Fed) วันนี้เป็นวันสุดท้าย (ประชุม 2 วัน แต่จะทราบผลเช้าวันพรุ่งนี้ 15 ธ.ค.) คาดว่ามีโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้อย่างน้อย 0.25% หลังจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นมาที่ 1.6% (ทำให้ช่องว่างระหว่างเงินเฟ้อและดอกเบี้ยนโยบายติดลบ) และหลังนายทรัมป์ฯ เข้าบริหารประเทศคาดว่าจะใช้มาตรการการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ใช้ในการหาเสียงไว้ เช่น ลดภาษีบุคคลธรรม และนิติบุคคล รวมถึงกระตุ้นการลงทุนภาครัฐ ล้วนหนุนเงินเฟ้อที่ทะลุ 2% ได้ ทำให้เชื่อว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นชัดเจน
ทั้งนี้ผลสำรวจ Fed Fund Future คาดโอกาสเฉพาะครั้งนี้ขึ้น 0.25% อยู่ที่ 96% และปี 2560 คาดว่า Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 4 ครั้ง เป็น 1.75% ภายใต้สมมติฐานเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.8-2% ในปี 2560 และประเด็น Brexit ยังไม่ก่อให้เกิดขึ้นปัญหาลุกลาม
และพรุ่งนี้ 15 ธ.ค. ประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตลาดคาดยังคงดอกเบี้ยฯ 0.25% ตามเดิม (BOE ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายไป 1 ครั้ง ประชุมเดือน ส.ค.59 หลังจาก Brexit) หากเทียบกับเงินเฟ้อ เดือน พ.ย. ล่าสุด 1.1% เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 0.9% ในเดือน ต.ค. สาเหตุหลักจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่า 16.5% เทียบกับดอลลาร์ นับจากวันที่ลงประชามติ Brexit (หนุนให้วัตถุดิบสินค้านำเข้าแพงขึ้น) ประกอบกับเข้าสู่ฤดูหนาวส่งผลต่อราคาเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า ทำให้ช่องว่างระหว่างเงินเฟ้อและดอกเบี้ยห่างกันกันมากขึ้น แต่เชื่อว่า BOE ยังจำเป็นต้องใช้ดอกเบี้ยต่ำต่อไป จนกว่ากระบวนการออกจากยุโรป ภายใต้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี
(0) ต่างชาติซื้อหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 6 แต่ยังขายกลุ่ม TIP
เงินทุนต่างชาติยังคงไหลกลับเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ด้วยมูลค่าราว 154 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะตลาดหุ้นในแถบเอเชียตะวันออก อย่าง เกาหลีใต้ที่ถูกซื้อสุทธิราว 129 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6) และไต้หวัน 110 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิเล็กน้อยในวันก่อนหน้านี้) ยกเว้น ตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ยังคงถูกขายสุทธิ คือ ฟิลิปินส์ขายสุทธิราว 22 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 18 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 24 วัน) และไทยที่ต่างชาติกลับมาขายสุทธิอีกครั้งราว 45 ล้านเหรียญ หรือ 1.6 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 4 วัน) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ขายสุทธิราว 549 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็น วันที่ 2)
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 1.65 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิราว 1.7 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์