WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASIAwealthบล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook

 

คำพูดอันตรายของ Trump
คาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงโดยที่นักลงทุนรอผลการประชุม Fed ที่จะเริ่มวันนี้ว่าแนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐจากนี้จะเป็นอย่างไร ตลาดตอนนี้มองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเกือบ 100% ซึ่งทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากเอเชียบางส่วนไปแล้วด้วย คำกล่าวของ Trump ที่ว่าสหรัฐไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงนโยบายจีนเดียวของจีนอีกต่อไปนั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสันติ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและของโลกโดยรวมด้วย ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่าโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มลงมือกันจริงๆ ต้นปีหน้าเป็นต้นไป มีปัจจัยลบภายในประเทศแค่เพียงค่าใช้จ่ายโฆษณาที่ยังลดลงในเดือน พ.ย. ครม.วันนี้จะตัดสินว่ามาตรการหักภาษีช้อปปิ้งจะได้หักสูงสุดเท่าใดแน่ระหว่าง 15,000 บาทหรือ 30,000 บาท

หุ้นเด่นวันนี้ : KTC (ราคาปิด 141.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 170.00 บาท)
      บมจ.บัตรกรุงไทย น่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากมาตรการช่วยเหลือทางภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในช่วงไตรมาส 4/59 ถึง 1/60 ก่อนที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะเริ่มต้นอย่างจริงจังในช่วงไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นไปอีก โดยมาตรการต่างๆ ประกอบด้วย 1) มาตรการลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวภายในประเทศโดยรวมไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน และ 2) มาตรการช้อปช่วยชาติซึ่งคาดว่าจะอนุญาตให้ลดหย่อนภาษีได้ถึง 30,000 บาทจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการในช่วงวันที่ 15-31 ธ.ค.นี้ ซึ่งมาตรการลำดับที่ 2 จะเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ในวันนี้ เราคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศให้คึกคักมากขึ้นถึง 4.5 - 6.0 หมื่นล้านบาท ซึ่ง KTC จะมีข้อได้เปรียบอย่างมากเนื่องจากบริษัทได้ออกแคมเปญทางการตลาดอย่างต่อเนื่องกับหลายๆ ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มโปรโมชั่นในหมวดหมู่ท่องเที่ยวและสันทนาการเพื่อตอบสนองกับช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ปัจจัยเหล่านี้คาดว่าจะช่วยหนุนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของบริษัทที่คาดว่าจะเติบโต 15% ในปีนี้ นอกจากนั้นแล้ว คุณภาพสินทรัพย์ของ KTC ดูน่าดึงดูดใจมากเนื่องจากอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ในไตรมาส 3/59 ยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 1.9% ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับสูงถึง 445.8% ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพสินทรัพย์อันแข็งแกร่งของบริษัทในการป้องกันความผันผวนทางเศรษฐกิจรวมถึงมาตรฐานทางบัญชีใหม่ๆ ในอนาคต เราคาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโต 17.2% ในปี 59 และ 17.6% ในปี 60

 

ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
      รถไฟฟ้าสายสีส้มอาจจะเริ่มการก่อสร้างเร็วขึ้น: การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) คาดว่าจะเริ่มต้นได้ก่อนกำหนด หลังจาก CKST กิจการร่วมค้า, lTD และ UNlQ เพิ่งชนะการประมูลของโครงการนี้ โดยเฉพาะตามที่รองผู้ว่า รฟม.ชี้แจงว่าหากไม่มีปัญหาการเปิดพื้นที่การก่อสร้าง จะเดินหน้าเจรจาต่อรองราคากับผู้ชนะการประมูล และจะมีพิธีลงนามสัญญาการก่อสร้างในเดือน ก.พ.หรือ มี.ค.60 (Bangkok Post) ความเห็น: การเซ็นต์สัญญาคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม และอาจจะเริ่มการก่อสร้างได้ราว พ.ค.60 ซึ่งผู้รับเหมาไทยที่รับงานภาครัฐจะได้รับประโยชน์ โดยในส่วนนี้ CK, ITD, STEC และ UNIQ จะเพิ่ม Backlog เป็นจำนวน 25.3 พันล้านบาท, 18.5 พันล้านบาท, 16.9 พันล้านบาท และ 13.7 พันล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งหากคิดเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นจาก Backlog เดิมแล้ว UNIQ กับ CK จะมีจำนวนเพิ่มจากงานนี้มากที่สุด 58% และ 36% ตามลำดับ หุ้น Top Pick ของเรายังเป็น CK (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท) และ UNIQ (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท)
     ระบบรถไฟเชื่อมจังหวัดเริ่มเป็นจริง ไทยและจีนประชุมคณะกรรมการร่วมรอบที่ห้า ได้เซ็นข้อตกลงความร่วมมือ (MoC) สำหรับการพัฒนาโครงสร้างระบบรางเชื่อมกรุงเทพและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ หนองคาย นครราชสีมาและสระบุรี การก่อสร้างเฟสแรกเส้นกรุงเทพ-นครราชสีมาน่าจะเริ่มภายในต้นปีหน้า (Bangkok Post)
ธนาคารโลกแนะเน้นโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นเล็กน้อยในช่วง 1-2 ปีและกระตุ้นรัฐบาลให้เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีผลตอบแทนสูงและจะดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนด้วย ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.1% ปีหน้าและ 3.3% ในปี 61 (Bangkok Post)
ยอดลงทุน BOI แตะ 4.0 แสนลบ. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOl) เผยยอดตัวเลขยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 4.0 แสนลบ. ซึ่งมากกว่า 70% ของเป้าทั้งปีนี้ที่ 5.50 แสนลบ. นอกจากนี้คาดว่าตัวเลขในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Bangkok Post)
ยอดใช้จ่ายโฆษณาลดลงต่อเนื่องในเดือนพ.ย. Nielsen Thailand เปิดเผยผลการสำรวจว่ายอดการใช้จ่ายโฆษณาในประเทศเดือนพ.ย. ลดลง 42.7% YoY มาอยู่ที่ 6.1 พันลบ. โดยมีสาเหตุหลักจากสถานการณ์ความเศร้าโศกในประเทศ ทั้งนี้มีเพียงการใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อนอกบ้านและสื่ออินเตอร์เนตที่เห็นการขยายตัว โดยรวมในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้การใช้จ่ายด้านโฆษณาหดตัวลง 12.5% YoY มาอยู่ที่ 9.83 หมื่นลบ. (Bangkok Post)

 

ต่างประเทศ :
ความเห็นของทรัมป์ต่อนโยบาย "จีนเดียว" บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน โดย Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่าสหรัฐไม่จำเป็นต้องยึดติดกับนโยบายจีนเดียวที่สหรัฐเคยถือมานานว่าไต้หวันถือเป็นส่วนหนึ่งของจีน โดย Trump ได้ให้ความเห็นกับ Fox News Sunday ตั้งคำถามต่อนโยบายของสหรัฐที่มีมาเกือบสี่ทศวรรษ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เขาพร้อมจะประท้วงจีนเกี่ยวกับที่เขาตัดสินใจยอมรับโทรศัพท์จาก Tsai lng-wen ประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อ 2 ธ.ค. (Reuters)
คาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปี 2016 ในการประชุมที่จะเริ่มในวันนี้ โดยตลาดคาดว่ามีโอกาสเกือบ 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 pps จากเป้าของเฟดที่ระหว่าง 0.25%-0.50% มีข้อสงสัยเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเฟดต่อชัยชนะของทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 8 พ.ย. และทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า (Reuters)
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันจันทร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเนื่องจากนักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปีนี้ ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 8/32 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.493% จากที่ระดับ 2.464% เมื่อวันศุกร์ โดยเมื่อวันจันทร์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฯ แตะระดับ 2.528% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 29 ก.ย. 57 ราคาพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับตัวลง 15/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 3.179% หลังจากที่เพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 3.215% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 58 (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากมีความกังวลว่าเฟดอาจมีความเห็นในการประชุมนโยบายเฟดว่าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเกินไปไกลแล้ว เงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.7% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ระดับ 1.0625 ดอลลาร์สหรัฐหลังจากอ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ 1.0526 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงก่อนหน้านี้ ดอลลาร์สหรัฐล่าสุดปิดทรงตัวเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 115.35 เยน ลบการแข็งค่าก่อนหน้านี้ที่ประมาณ 0.8% ซึ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลับไปสู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนเทียบกับเงินเยนที่ 116.12 เยน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดลดลง 0.45% ที่ระดับ 101.130 อ่อนตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 1.5 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ 101.780 (Reuters)

สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นวอลสตรีทปิดทั้งบวกและลบเมื่อวันจันทร์ โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง แต่ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ปิดลบหลังจากปิดบวกติดต่อกัน 6 วัน มีการทำกำไรในกลุ่มธนาคารก่อนการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟดในปีนี้และการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นปัจจัยฉุดตลาด อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น (Reuters)

ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์อ่อนตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน กดดันจากการอ่อนตัวลงของราคาหุ้น Fingerprint ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวมิติสัญชาติสวีเดน รวมไปถึงหุ้น Lonza ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตยาสัญชาติสวิสเซอร์แลนด์ แม้ว่าตลาดจะได้แรงหนุนส่วนหนึ่งจากหุ้นกลุ่มน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนก็ตาม (Reuters)

เอเชีย :
ญี่ปุ่นประท้วงรุนแรงในข้อกล่าวหาของจีนว่าเครื่องบินรบของญี่ปุ่นมีพฤติกรรม"เป็นอันตรายและไม่เป็นมืออาชีพ" เมื่อพวกเขาส่งสัญญาณรบกวนในช่วงสุดสัปดาห์ ในช่วงที่เครื่องบินจีนบินระหว่างโอกินาวาและเกาะมิยาโกะ (Reuters)
ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรหลักของญี่ปุ่นในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนเกินคาดตามข้อมูลของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันจันทร์ เป็นสัญญาณเบื้องต้นของการฟื้นตัวในการใช้จ่ายเงินทุน คำสั่งหลักของเครื่องจักรเพิ่มขึ้น 4.1% MoM ในเดือน ต.ค. ทำให้เกิดผลดีเกินกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ 1% MoM และคำสั่งซื้อหลักลดลง 5.6% YoY ในเดือน ต.ค. เทียบกับที่คาดลดลง 4.5% YoY (Reuters)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีนหมดคำถาม หากวอชิงตันไม่สามารถรับรู้ผลประโยชน์ของจีนในไต้หวัน บ่งชี้ว่าทรัมป์ปฏิเสธความพยายามในการแก้ปัญหาในเชิงพาณิชย์และการรักษาความปลอดภัยของทั้งสองประเทศ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันขึ้นสู่จุดสูงสุดรอบ 18 เดือนในวันจันทร์ หลังโอเปค และคู่แข่งบรรลุข้อตกลงเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2544 เพื่อลดกำลังการผลิตแก้ปัญหาล้นตลาด น้ำมันดิบพุ่งแรง ด้วยน้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 23% นับแต่กลาง พ.ย. ตั้งแต่เริ่มมีข่าวบวกเกี่ยวการลดกำลังผลิตมากขึ้น วันจันทร์ น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 1.73 ดอลลาร์สหรัฐ (+3.4%) ปิดที่ 53.24 ดอลลาร์ Brent ล่วงหน้าบวก 1.76 ดอลลาร์ (3.2%) ปิด 56.09 ดอลลาร์ หลังจากไปแตะจุดสูงสุดนับแต่ ก.ค. 58 ที่ 57.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)
ทองคำพลิกเป็นบวกหลังร่วงต่ำสุดในรอบกว่า 10 เดือนในวันจันทร์เพราะผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐถอยมาจากจุดสูงสุดและดอลลาร์ร่วงล่วงหน้าการประชุม Federal Reserve ทองคำตลาดจรบวก 0.3% ปิด 1,161.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังแตะจุดต่ำสุดนับแต่ 5 ก.พ. ที่ 1,151.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทองสหรัฐล่วงหน้าบวก 0.3% ปิดที่ 1,165.80 ดอลลาร์สหรัฐ
ทองแดงร่วงในวันจันทร์ ลดลงเพราะหุ้นจีนร่วงและเพราะนักลงทุนขายทำกำไรจากที่บวกไปในสัปดาห์ที่แล้วเพราะมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ของประเทศผู้บริโภคหลักของจีน ทองแดงสามเดือนตลาด LME ลบ 1% สู่ 5,768 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน โดยได้ปรับตัวขึ้นมาแล้วเกือบ 25% ตั้งแต่ปลาย ต.ค. (Reuters)

Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!