- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 December 2016 17:04
- Hits: 2000
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ทิศทางตลาด
Sideway Up? คาดยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อเนื่อง ตามตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ได้รับปัจจัยหนุนจากผลการประชุมของ ECB โดยเฉพาะการขยายระยะเวลาวงเงิน QE ออกไป 9 เดือน ซึ่งดีกว่าความคาดหมายก่อนหน้าที่คาดจะขยายเพียง 6 เดือน ขณะที่จะมีการปรับลดวงเงิน QE ลง ประมาณ 20,000 ล้านยูโร/เดือน เป็น 60,000 ล้านยูโร/เดือน ในช่วง เม.ย. – ธ.ค.’60
ทางด้านราคาน้ำมันปรับขึ้น คาดกลับมาส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยราคาน้ำมันทั้ง WTI, Brent และ Dubai กลับมาเคลื่อนไหวบริเวณ 51 – 52USD ขณะที่ในวันที่ 10/12/59 จะมีการประชุมร่วมระหว่างกลุ่มโอเปกและประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก ที่คาดกลุ่มนอกโอเปกจะปรับลดปริมาณผลิตลง 0.6 ล้านบาร์เรล/วัน จากก่อนหน้าที่ประชุมโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงลดการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน
แนะติดตามการประชุมของเฟด 13 – 14/12/59 คาดจะมีการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ซึ่งคาดอาจส่งผลต่อ Fund Flow ไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่อง รวมถึงไทย คาดอาจได้รับการชดเชยเข้ามาบ้างจากแรงซื้อสุทธิของสถาบันในประเทศ (LTF / RMF) ในช่วงปลายปี ขณะที่ล่าสุดต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 แม้มูลค่าไม่มากนัก
ทางด้านเงินสหรัฐฯ คาดยังอยู่ในทิศทางแข็งค่า ภายใต้ประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ข้างต้น และความคาดหมายนโยบายของทรัมป์ (หลังเข้ารับตำแหน่ง 20/1/60) จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ขณะที่เงินบาทที่อ่อนค่าลง คาดยังเป็น Sentiment ที่ดีต่อกลุ่มส่งออก
ส่วนประเด็นในประเทศ คาดภาพรวม Sentiment ยังเป็นบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่เพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีรายได้ทุกกลุ่ม รวมถึงมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศในเดือนธ.ค. โดยเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในเดือนธ.ค. จำนวน 15,000 บาท สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษี จากก่อนหน้าที่ 15,000 บาท รวมเป็น 30,000 บาท ขณะที่คาดมาตรการภาษีหนุนการบริโภคปลายปี (คาดวงเงินไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท) นำเข้า ครม. ในสัปดาห์หน้า (เลื่อนจากความคาดหมายเดิมเป็นสัปดาห์ที่ 2)
ซึ่งโดยภาพรวมคาดยังส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มโรงแรมและค้าปลีก
รวมถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์จากความชัดเจนในการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ทั้งรถไฟฟ้า และรถไฟทางคู่ ในเส้นทางต่างๆ ที่คาดทยอยเปิดประมูลต่อเนื่องในปี’60 ล่าสุด รฟม. เปิดเผย กิจการร่วมค้า BSR (BTS, STEC และ RATCH) เป็นผู้ผ่านการประเมินสูงสุดโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู และเหลือง คาดหลังจากนี้เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาต่อรอง และแนะติดตามการเปิดซองประมูล (เทคนิค) ตามกำหนดเดิมในวันนี้ (9/12/59) ที่คาดอาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาใน ITD, CK, STEC และ UNIQ เป็นต้น
SET SET50 SET100
1,525.41 +4.88 953.68 +1.97 2,154.39 +5.80
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดต่างประเทศ DJIA +65.19, NASDAQ +23.59, S&P +4.84, FTSE +29.32, CAC +40.76 และ DAX +192.73
โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ตลาดของสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ ภายใต้ปัจจัยหนุนจากผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป – ECB (วานนี้) ที่มีมติขยายระยะเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน จากเดิมครบกำหนดมี.ค.’60 เป็น ธ.ค.’60 ขณะที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเดิมที่ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.4% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่าจะลดวงเงินในการซื้อพันธบัตร ช่วงเม.ย. - ธ.ค.’60 สู่ 60,000 ล้านยูโร/เดือน จากปัจจุบันที่ 80,000 ล้านยูโร/เดือน
ทางด้านสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงาน ล่าสุด ลดลง 10,000 ราย อยู่ที่ 258,000 ราย สอดคล้องกับคาดการณ์
และยังอยู่ระหว่างรอการประชุมเฟด ในวันที่ 13 – 14/12/59 ซึ่งคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเป็นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปีราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ม.ค. +US$1.07 อยู่ที่ US$50.84 ต่อบาร์เรล ส่วนหนึ่งจากการเข้าเก็งกำไร หลังราคาน้ำมันปรับลงในช่วงก่อนหน้า ภายใต้การประชุมระหว่างกลุ่มโอเปก และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ (10/12/59 ที่ประเทศออสเตรีย) คาดประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกอาจจะพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตลง 600,000 บาร์เรล/วัน
P/E (เท่า) P/BV (เท่า) Dividend Yield (%)
18.34 1.93 3.08
ที่มา: www.set.or.th
มูลค่าการซื้อขาย หน่วย(ลบ.)
มูลค่าการซื้อขาย 51,170.37
สถาบัน 770.28
บัญชีหลักทรัพย์ 560.17
ต่างประเทศ 1,059.44
ในประเทศ -2,389.89
ขณะที่คาดยังได้รับปัจจัยกดดันจาก ตัวเลขปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก - พ.ย. อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 34.19 ล้านบาร์เรล/วัน จากระดับ 33.82 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อต.ค. ขณะที่การผลิตน้ำมันของรัสเซีย อยู่ที่ 11.21 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 30 ปี
รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อาจกระตุ้นให้ผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มการผลิตน้ำมัน
ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ก.พ. -US$5.1 อยู่ที่ US$1,172.4 ต่อออนซ์ ส่วนหนึ่งจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร หลัง ECB มีมติขยายระยะเวลา ซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ออกไปอีก 9 เดือน วานนี้
ขณะที่ยังอยู่ระหว่างรอการประชุมเฟด (13 – 14/12/59) คาดเฟดพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 0.25-0.50% เป็น 0.50-0.75%
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +1,059 ล้านบาท สะสม YTD +80,428 ล้านบาท (ปี’57 และ 58 ยอดขายสุทธิสะสม 36,173 ล้านบาท และ 154,346 ล้านบาท ตามลำดับ)
(-) ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค - พ.ย.อยู่ที่ 72.3 ลดลงจาก 73.1 เมื่อ
ต.ค. โดยปรับลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน จากความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่ยังปรับตัวไม่ดีมากเท่าที่ควร
ประเด็นที่ต้องติดตาม 9 ธ.ค. 2559
9/12/59 สหรัฐฯ เปิดเผย
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนธ.ค.
ตัวเลขสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนต.ค.
และยังแนะจับตา
(1) กลุ่มปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น IVL
(2) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น เช่น EPG และ SCC
(3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยบวกจากยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี 59 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ANAN, AP และ SPALI
(4) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้รับประโยชน์จากงานภาครัฐ เช่น CK, SYNTEC
(5) กลุ่มพลังงาน เช่น PTT ได้รับประโยชน์จากธุรกิจก๊าซที่แนวโน้มกำไรเติบโตดี ขณะที่ TOP และ SPRC แนวโน้มผลการดำเนินงานดี ค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น ส่วน BANPU ได้รับประโยชน์จากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง
(6) กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, HMPRO, KAMART และ ROBINS คาดได้รับประโยชน์หลังรัฐบาลอัดฉีดกำลังซื้อรากหญ้าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากโครงการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเกษตรกร 3 โครงการวงเงิน 93,000 ล้านบาท
(7) กลุ่มขนส่ง ในส่วนของธุรกิจการบินและสนามบิน เช่น AAV และ BA
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.04 อยู่ที่ 2.39% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54)
ดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.42 อยู่ที่ 12.64
หุ้นแนะนำ : PTTEP
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ โทร .02-684-8788