- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 01 December 2016 00:31
- Hits: 12853
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้อ่อนลงเล็กน้อย 3.60 จุดปิดที่ 1497.18 โดยมีแรงขายแบบ Sell on fact
หลังมติที่ประชุมครม.ออกมาตามคาด มีมาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวเพิ่มเติม นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิเพิ่มเป็น 3.0 พันล้านบาท สำหรับปัจจัยสำคัญ/จับตาในระยะสั้นมาก ได้แก่
+/- จีดีพี 3Q59 ของ US โตแกร่ง 3.2% …เป็นบวกต่อการค้าโลก แต่ค่าเงิน US$ ที่แข็งเป็นลบต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ & ราคาทองคำโลก
• เศรษฐกิจ US ที่เติบโตดี & ราคาบ้านปรับขึ้นสูงกว่าเงินเฟ้อ (เดือนก.ย.+5.5%YoY) หนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยกลางธ.ค.นี้
• ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต.ค.ของ US ซึ่งจะรายงานวันศุกร์นี้
- ราคาน้ำมันดิบร่วงเกือบ 4% ก่อนการประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 30 พ.ย.นี้...ส่อแววคว้าน้ำเหลว?
+ AOT รายงานกำไรปี 59 (สิ้นสุดก.ย.59) เติบโตแกร่ง 24%YoY จ่ายปันผล 6.83 บาท/หุ้น + แตกพาร์ 10 เป็น 1 บาท แนวโน้ม
ขยายตัวดีต่อ ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวทั้งด้านภาษี&ลดค่าวีซ่า แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 455 บาท (@ พาร์ 10)
+ มีความหวังว่าแรงซื้อ LTF จะช่วยหนุน แม้อาจจะอ่อนลง เพราะตั้งแต่ปีนี้ LTF ต้องถือครอง 7 ปีปฎิทิน (เดิม 5 ปีปฎิทิน)
กลยุทธ์ : การซื้อเล่นรอบยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่ง
ช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น AOT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นลบเล็กๆ (ปิดลบแต่ยังเหนือ SMA10) ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ต่ำกว่า 1485 ลด
พอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุน แนวต้านระยะสั้น 1505-1510, 1520 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SYNEX, GPSC, FN, MAJOR หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ SMT, TPOLY, BRR, RS, PAP,
GLOBAL, STPI หุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ ABICO, PSL หุ้นที่หลุด List คือ UV
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : จีดีพีไตรมาส 3/59 เติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ +3.2%YoY
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขจีดีพีประจำ 3Q59 ประมาณการครั้งที่ 2 ว่าเติบโต 3.2% ซึ่งเป็นอัตราการ
ขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ 2.9% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของ
ยอดส่งออกและการใช้จ่ายผู้บริโภค
+ สหรัฐ : ราคาบ้านเพิ่มมากกว่าเงินเฟ้อทั่วไป & ความเชื่อมั่นผู้บริโภคพ.ย.เพิ่มเกินคาด
ดัชนีราคาบ้านของสหรัฐ +5.5%YoY ในเดือนก.ย. สูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.49 ด้าน Conference Board รายงาน
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ย.เพิ่มเป็น 107.1 ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 101.2 อย่างมาก
•/+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : เด้งรับจีดีพี 3Q59 ที่เติบโตแกร่ง แต่บวกจำกัดเพราะราคาน้ำมันร่วงกดดัน
ดัชนี DJIA ปิด 19,121.60 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด หรือ +0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,379.92 จุด เพิ่มขึ้น 11.11
จุด หรือ +0.21% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,204.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.94 จุด หรือ +0.13% ปัจจัยหนุนคือ จีดีพีไตรมาส
3/59 สหรัฐที่ +3.2%YoY สูงสุดในรอบ 2 ปี และดีกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ +2.9%YoY
หุ้นกลุ่มสุขภาพปรับขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เสนอชื่อนายทอม ไพร์ซ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวง
สาธารณสุข ซึ่งนายไพร์ซมีจุดยืนที่ต่อต้านกฎหมายประกันสุขภาพ (Affordable Care Act) ที่ริเริ่มโดย
ประธานาธิบดีโอบามา และอาจจะได้รับมอบหมายจากคณะทำงานของนายทรัมป์ให้เป็นผู้คว่ำกฎหมายดังกล่าว
- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงเกือบ 4%
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 1.85 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 45.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน
BRENT ดิ่งลง 1.86 หรือ หรือ 3.9% ปิดที่ 46.38 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากตลาดประเมินว่าการประชุม 30 พ.ย.
(วันนี้) ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อาจไม่บรรลุข้อตกลงเรื่องการจำกัดปริมาณการผลิต โดยล่าสุดรมว.น้ำมัน
รัสเซียประกาศที่จะไม่เข้าร่วมการประชุมนี้ นอกเหนือจากซาอุฯที่ประกาศไปก่อนหน้า
-/• ราคาทองคำ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 3 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่
1,190.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่งหนุนค่าเงิน US$ ซึ่งกดดันราคาทองคำ
30 November 2016
Thailand
Fundamental Focus
DBS Group Research . Equity
Thailand Daily Trading Focus: 30 November 2016
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ครม.เห็นชอบมาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 59 โดยให้นำ
ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศที่มีใบเสร็จถูกต้องตามระบบกฎหมายช่วงวันที่ 1-31 ธ.ค.59 ตามจำนวนที่จ่ายจริง
แต่รวมทั้งหมดไม่เกิน 15,000 บาทมาลดหย่อนภาษี ซึ่งเพิ่มเติมจากมาตรการก่อนหน้านี้ที่ให้ยกเว้นภาษีเงินได้
สำหรับค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวภายในประเทศจำนวน 15,000 บาทช่วง 1 ม.ค.-31 ธ.ค.59
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : นับเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยว โดยเฉพาะบริษัทที่มีรายได้จากกลุ่ม
นักท่องเที่ยวในประเทศเป็นสัดส่วนสูง เช่น
# สนามบิน : หุ้นเด่น คือ AOT แนะนำซื้อให้ราคาพื้นฐาน 455 บาท (ดูรายละเอียดใน Company guide วันนี้)
# สายการบินโลว์คอสต์ : หุ้นเด่น คือ AAV แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 8.20 บาท
# โรงแรม & อาหาร : หุ้นเด่น คือ ERW ซึ่งเน้นลูกค้าในประเทศเป็นหลัก แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 5.80 บาท
และ CPF มีรายได้จากในประเทศเป็นหลัก ราคาพื้นฐาน 40 บาท
+ AOT (ราคาปิด 389 บาท) : แตกพาร์จาก 10 เป็น 1 บาท และจ่ายปันผล 6.83 บาท (ที่พาร์ 10 บาท)
บริษัทประกาศจ่ายปันผลสำหรับผลประกอบการงวด 1 ต.ค.58 ถึง 30 ก.ย.59 เท่ากับ 6.83 บาท/หุ้น กำหนด XD
8 ธ.ค.59 ชำระเงิน 9 ก.พ.60 (เงินปันผลที่ประกาศอยู่บนราคาพาร์ 10 บาท) และบริษัทประกาศแตกพาร์จาก 10
บาทเป็น 1 บาท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : การแตกพาร์ไม่มีผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แต่ทำให้หุ้น
AOT มีสภาพคล่องในการซื้อขายดีขึ้น นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสเข้าซื้อหุ้นได้มากขึ้น
สำหรับ มุมมองของ DBSV ต่อ AOT โดยมองว่ามาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของรัฐบาล ทั้งด้านภาษีและการลด
ค่าวีซ่าจะทำให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมาใช้บริการสนามบินมากขึ้น โดยเฉพาะในชว่ งที่เป็น High
season ของการท่องเที่ยวในเดือนธ.ค.59 และในไตรมาส 1/60 เราประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 60 (สิ้นสุดก.ย.60)
จะเติบโตได้ 16% ต่อเนื่องจากปี 59 (สิ้นสุดก.ย.59) ที่ขยายตัวสูง 24% ในเชิงกลยุทธ์ เรายังคงคำแนะนำซื้อ ให้
ราคาพื้นฐาน 455 บาท (ราคาพาร์ 10 บาท)
+ AMATA (ราคาปิด 10.90 บาท) : ผู้บริหารคาด 4Q59 จะเซ็นสัญญาขายที่ดิน 600 ไร่
ผู้บริหาร AMATA กล่าวว่าแนวโน้มยอดขายที่ดินใน 4Q59 จะดีขึ้น โดยบริษัทมียอดขายที่ดินรอเซ็นสัญญาอีก
600 ไร่ ทั้งนี้งวด 9M59 ขายที่ดินและเซ็นสัญญาไปแล้ว 357 ไร่ ทำให้ทั้งปี 59 จะมียอดขายที่ดินที่เซ็นสัญญาตาม
เป้าหมายที่ 1,000 ไร่ได้ และตั้งเป้าหมายอดขายปี 60 ที่ระดับ 1,000 ไร่เช่นกัน สำหรับยอดขายที่ดินรอรับรู้รายได้
(Backlog) สิ้นก.ย.59 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท คาดว่าจะเพิ่มเป็น 4 พันล้านบาทในสิ้นปีนี้ และจะโอนรับรู้รายได้ใน
ปี 60 ทั้งหมด
ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV กำลังสอบถามข้อมูลกับทาง AMATA ถึงความเป็นไปได้ในการเซ็นสัญญาขายที่ดิน 600 ไร่
ดังกล่าวข้างต้นได้ทันในช่วงเดือนธ.ค.59 หรือไม่ ซึ่งส่วนนี้มีผลต่อประมาณการกำไรในปี 60 อย่างมีนัยสำคัญ
• โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง : กลุ่ม BSR และ BEM ผ่านคุณสมบัติ & เทคนิคแล้ว
รฟม.พิจารณาเอกสารด้านคุณสมบัติและเทคนิคของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี และ
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง แล้ว พบว่าผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 2 ราย ได้แก่ กิจการร่วมค้าบี
เอสอาร์ (BSR Joint Venture) และบมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ผ่านการพิจารณาด้านคุณสมบัติ
และเทคนิค และคณะกรรมการได้เปิดซองเอกสารข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) เมื่อ
วานนี้ (29 พ.ย.) โดยจะเร่งรัดพิจารณา คาดว่าจะได้ข้อสรุปต้นธ.ค.59 นำเสนอครม.พิจารณาเดือนมี.ค.-เม.ย.60
และลงนามสัญญาจ้างได้ภายในเดือนเม.ย.60
สำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง เป็นโครงการในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและ
เอกชน (PPP) โดยรฟม. ลงทุนค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและเอกชนผู้รับสัมปทานลงทุนด้านโครงสร้างงานโยธา งาน
ระบบและขบวนรถไฟฟ้า (รถไฟฟ้ารางเดี่ยวแบบคร่อมราง) และให้บริการเดินรถและบำรุงรักษา รวมถึงเป็นผู้
จัดเก็บค่าโดยสาร (PPP Net Cost) มีระยะเวลาสัมปทานทั้งสิ้น 33 ปี 3 เดือน (ก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน และบริหาร
เดินรถ & บำรุงรักษา 30 ปี) มูลค่าโครงการสายสีชมพู 53,519.50 ล้านบาท และสีเหลือง 51,931.15 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]