WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASIAwealthบล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook

 

ต้องระวัง
    คาดหุ้นไทยไม่ไปไหน นักลงทุนน่าจะซื้อขายด้วยความระมัดระวังในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก จากการขายกำไรในตลาดหุ้นสหรัฐหลังจากพุ่งขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งดอลลาร์ และพันธบัตรสหรัฐอยู่ในช่วงพักฐานด้วย ยิ่งกว่านั้นความเสี่ยงด้านการเมืองในยุโรปก็อยู่ในระดับสูงก่อนการลงประชามติในอิตาลี ความไม่แน่นอนของผลการประชุม OPEC ล้วนต้องระวัง จะมีปัจจัยบวกก็เพียง สินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังพุ่งขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีน การแพร่ระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์แรงในหลายประเทศในยุโรป และล่าสุดในญี่ปุ่นเป็นผลลบต่ออุตสาหกรรมสัตว์ปีก ปัจจัยภายในประเทศวันนี้ความสำคัญเป็นรองปัจจัยโลก

 

หุ้นเด่นวันนี้ : BEM (ราคาปิด 7.70 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 10.10 บาท)
      เราเลือก BEM เป็น Pick of the day โดยคาดหวังปัจจัยบวกจากคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาสสุดท้ายของปีมีแนวโน้มจะออกมาดีขึ้น YoY และ QoQ เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากทางด่วนศรีรัชฯ และรายได้การให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้เต็มไตรมาส และมีต้นทุนการเงินที่ลดลงหลังจากออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อชำระหนี้เดิม ต้นทุนการเงินลดลงสิ้นปีคาดว่าลดลงเหลือ 3.1% เทียบกับปีก่อนที่ 3.6% โดยเฉพาะทางด่วนศรีรัชฯ มีปริมาณการจราจรเพิ่มเป็น 39,000 คันต่อวัน จากช่วงเปิดให้บริการระยะแรกที่ 30,000 คันต่อวัน นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าก่อนสิ้นปีนี้จะเสร็จสิ้นการเจรจาการเดินรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย เพื่อทำการวางระบบ M&E และเพื่อให้ทันเปิดใช้บริการได้ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยจะรีบเชื่อมส่วนของสถานีบางซื่อ-เตาปูนให้ได้ภายใน 6 เดือน คาดว่าทำให้ผู้โดยสายสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินส่วนเดิมเพิ่มขึ้น เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.และ BEM ตามลำดับ โดย BEM ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3/59 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ คือมีกำไรสุทธิ 808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51%YoY สาเหตุจากรายได้ทางพิเศษเพิ่มขึ้น 6.6% YoY จากปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นในทุกสาย หลังเปิดให้บริการทางด่วนศรีรัชฯ ตั้งแต่ 22 ส.ค.59 รวมถึงรายได้จากธุรกิจรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 52.4% YoY จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นและเริ่มมีรายได้จากการให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษาระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง ตั้งแต่ 6 ส.ค.59 อีกทั้งค่าใช้จ่ายการเงินลดลง 17.3% YoY เราคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานเติบโต 129% และ 38% ในปี 2560 ตามลำดับ เราประเมินมูลค่าเหมาะสมไว้ที่ 10.10 บาท จากวิธี sum-of-theparts ที่รวม DCF จากธุรกิจเดิมที่ 6.80 บาท และมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินและการเพิ่มระยะเวลาสัมปทานอีก 3.30 บาท มี upside 31% เราจึงแนะนำซื้อ Price Pattern ของ BEM กลับมาเกิดความแข็งแกร่งระยะสั้นอีกครั้ง จากการเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ โดยยังอยู่ในแนวโน้มหลักที่เป็นขาขึ้น จากการเกิด Monthly Buy Signal แต่ยังต้องรอความแข็งแกร่งในระยะกลางจากการเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่เสียก่อน โดยหากปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 7.65 บาท ก็เกิด Weekly Buy Signal ใหม่ทันที ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 8.60 บาท ซึ่ง BEM มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 7.35 บาท (Resistance: 7.75, 7.85, 7.95; Support: 7.60, 7.50, 7.40)

 

ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
ส่งออกหดตัวผิดคาดใน ต.ค. โดย ก.พาณิชย์เผยส่งออกร่วง 4.2% เทียบปีก่อนสู่ 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเติบโตในสองเดือนก่อน ผิดคาดจากค่ากลางว่าจะเพิ่มขึ้น 2.15% จากผลสำรวจรอยเตอร์ส การหดตัวเป็นเพราะฐานสูงปีที่แล้ว การค้าโลกชะลอและการส่งออกทองและน้ำมันอ่อนแอลง ขณะเดียวกันนำเข้าเพิ่มกว่าคาดหรือ 6.5% เทียบปีก่อน สู่ 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้เกินดุล 2.48 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับสิบเดือนส่งออกเท่ากับ 1.78 แสนล้านดอลลาร์ ลดลง 1% ขณะที่นำเข้าลง 5.9% เหลือ 1.60 แสนล้านดอลลาร์ (Bangkok Post)

      รัฐมองส่งออกเชิงบวก แต่ผู้ส่งออกคาดหดตัวปีนี้ รัฐยังมองว่าส่งออกจะคงที่หรือโตเล็กน้อยในปีนี้ โดยคาดว่าจะเติบโตในช่วงสองเดือนที่เหลือเพราะหลายปัจจัยยังเป็นบวก เช่น ราคาพืชผลเกษตรและราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี สภาผู้ขนส่งสินค้าทางเรือระบุว่ายากที่ส่งออกไทยจะเป็นบวกปีนี้เพราะคำสั่งซื้อส่วนใหญ่ได้เกิดขึ้นไปแล้วในสิบเดือนแรก คาดว่าจะหดตัว 0.8% สำหรับกรณีฐานและลบ 0.5% สำหรับกรณีดีสุด (Bangkok Post)
  ความเห็น: เราคงมุมมองไม่ดีต่อการส่งออกไว้ที่หดตัว 1% ปีนี้ ก่อนที่จะฟื้นตัว 1-2% ในปีหน้า

     ผู้ว่าฯ ธปท. เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงหน้าเทศกาลสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยลบระยะสั้นก่อนที่จะเริ่มโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ที่จะเป็นรูปเป็นร่างปีหน้า (Bangkok Post)

 

ต่างประเทศ :
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันจันทร์ จากระดับสูงสุดในสัปดาห์ก่อนเนื่องจากนักลงทุนมองว่ามีการเทขายพันธบัตรหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีมากเกินไป ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 14/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.3214% ลดลงจากที่ระดับ 2.370% เมื่อวันศุกร์ ราคาพันธบัตรอายุ 2 ปีปรับตัวขึ้น 1/32 อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ที่ระดับ 1.1109% ลดลงจากที่ระดับ 1.135% เมื่อวันศุกร์ (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐหยุดทะยานขึ้น ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อวันจันทร์ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวลงก่อนหน้านี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 4% และเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีที่ 102.05 เมื่อวันพฤหัสก่อนจะร่วงลงในวันศุกร์และปรับตัวลงต่อสู่ระดับ 101.32 เมื่อวันจันทร์ (Reuters)
ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงต่อความผันผวนของค่าเงินยูโรในสัปดาห์ที่จะมาถึงเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบหลายเดือนเมื่อวันจันทร์ ก่อนการลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในอิตาลีในวันที่ 4 ธ.ค. ซึ่งอาจทำให้นายกรัฐมนตรี Matteo Renzi ต้องลาออกจากตำแหน่ง (Reuters)

 

สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐต่างปิดลบเมื่อวันจันทร์ และมีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยได้แรงกดดันจากการเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคหลังจากทำปรับตัวขึ้นสูงสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินและหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นกลุ่มที่ผลการดำเนินงานดีที่สุดนับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้ง (Reuters)
ร่างพ.ร.บ. ยาสหรัฐหลายฉบับคาดว่าจะผ่านสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะผ่านกฎหมายมูลค่า 6.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในวันพุธนี้เพื่อกระตุ้นนวัตกรรมยา เร่งการเข้าถึงยาใหม่ ๆ ขยายบริการการรักษาสุขภาพจิตและปราบปรามการใช้ยาระงับปวดในทางที่ผิด ร่างพ.ร.บ ยาซึ่งเป็นที่รู้จักกันชื่องของ 21st Century Cure Act ได้จัดสรรเงินจำนวน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ (NlH) มาเป็นเวลากว่า 10 ปีเพื่อสนับสนุนการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับสมอง โรคมะเร็งและการแพทย์แบบเฉพาะบุคคล อีกทั้งยังจัดสรรเงินจำนวน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ FDA สหรัฐเพื่ออนุมัติยาและเครื่องมือต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น (Reuters)
ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าจับตามองในสัปดาห์นี้ได้แก่การประกาศ GDP ไตรมาส 3/59 ของสหรัฐ รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตัวเลขการใช้จ่ายในช่วงเช้าของวันอังคาร ซึ่งจะเป็นการเริ่มประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญและปิดท้ายด้วยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ (Reuters)

 

ยุโรป :
      ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อวันจันทร์ จากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงต่อและแตะระดับต่ำสุดนับแต่สิ้นเดือนก.ย. จากความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับธนาคาร Monte dei Paschi ที่มีปัญหา และมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองก่อนการลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ (Reuters)
      เกิดการระบาดของสายพันธุ์ที่รุนแรงของโรคไข้หวัดนก H5N8 ในหลายประเทศในยุโรป และนำไปสู่การฆ่าสัตว์ปีกอย่างมากมายหลังจากที่ถูกตรวจพบในเป็ดป่าในภาคเหนือของฝรั่งเศส ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการระบาดของโรคในประเทศเนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์, โรมาเนียและเยอรมนี เจ้าหน้าที่ดัตช์ทำลายเป็ดประมาณ 190,000 ตัว ในหกฟาร์มที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนกในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (Reuters) ความเห็น: หากการระบาดควบคุมไม่อยู่ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคสัตว์ปีกและอาจจะหันไปบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแทนในช่วงนี้ จะเป็นผลกระทบเชิงลบสำหรับตลาดส่งออกเนื้อสัตว์ปีกทั้งหลายของผู้ประกอบการได้แก่CPF, GFPT, TFG และ BR โดยเราแนะนำให้หันการลงทุนมาที่ TU แทน

 

เอเชีย :
       อุปสงค์ในประเทศญี่ปุ่นพลิกฟื้น: อัตราการว่างงานในเดือนตุลาคมทรงตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาวะการมีงานทำดีขึ้นและการใช้จ่ายของครัวเรือนลดลงในอัตราที่ช้าลง เป็นสัญญาณว่าตลาดแรงงานแข็งแกร่งสนับสนุนความต้องการภายในประเทศ อัตราการว่างงานในเดือนตุลาคมอยู่ที่ 3.0% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกันยายน และสอดคล้องกับประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์ การใช้จ่ายของครัวเรือนลดลง 0.4% YoY ในเดือนตุลาคมน้อยกว่าคาดการณ์ของตลาดที่มองลดลง 0.6% อัตราส่วนงานต่อการสมัครงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.40 จาก 1.38 ในเดือนกันยายนซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2534 ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ในประเทศของญี่ปุ่นจะมีเสถียรภาพ ทำให้บรรเทาความกังวลของผู้กำหนดนโยบายและลดความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (Reuters)
ญี่ปุ่นเริ่มต้นตัดวงจรไก่และเป็ดมากกว่า 300,000 ตัว หลังจากเกิดการติดต่อของโรคไข้หวัดนกในสองแห่ง ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มันเป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ผ่านมา ที่โรคไข้หวัดนกได้รับการตรวจพบในฟาร์มสัตว์ปีกในประเทศญี่ปุ่น ในจังหวัดนีงะตะ เหนือกรุงโตเกียว เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มฆ่าไก่ 310,000 ตัวที่ฟาร์มในหมู่บ้าน Sekikawa หลังจากพบศพนก 40 ตัว ในขณะที่ทางเหนือในจังหวัดอาโอโมริ เป็ดถูกฆ่า 16,500 ตัว หลังจากการทดสอบให้ผลเชิงบวกสำหรับโรคไข้หวัดนก H5 (Reuters)
ประเทศจีนได้รับเงินอนุมัติ 247 พันล้านหยวน (36 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับแผนในการปรับปรุงทางรถไฟ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างเมืองหลวงปักกิ่งกับท่าเรือเมืองเทียนจินและจังหวัดใกล้เคียงของมณฑลเหอเป่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะบูรณาการในพื้นที่สามเมืองใหญ่ แผนจะขยายออกไป 9 โครงการรวม 1,100 กิโลเมตร (683 ไมล์) ผู้วางแผนทางเศรษฐกิจฯ กล่าวว่าในวันจันทร์ที่ผ่านมา โครงการจะถูกสร้างขึ้นในช่วงหลายปีถึงปี 2563 และเป็นส่วนหนึ่งของแผนในวงกว้างที่จะยืดยาวไปถึง 2573 (Reuters)

 

สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันดิบสหรัฐบวกกว่า 2% วันจันทร์ หลังจากร่วงถึง 2% และดีดกลับมาเพราะตลาดยังมีมุมมองที่อ่อนไหวไม่แน่นอนต่อการประชุมลดกำลังการผลิตในวันพุธนี้ น้ำมันดิบสหรัฐปิดบวก 1.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (2.21%) อยู่ที่ 47.08 ดอลลาร์สหรัฐ น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าบวก 1.00 ดอลลาร์สหรัฐหรือ 2.12% ปิด 48.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงหลังการซื้อขาย สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันลดลงหลัง Reuters รายงานว่าผู้เชี่ยวชาญของ OPEC ยังไม่ได้ตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับการลดกำลังผลิต (Reuters)
ราคาทองคำบวกกว่า 1% วันจันทร์ ฟื้นจากจุดต่ำสุดนับแต่ ก.พ. เพราะดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวถอยจากจุดสูงสุด ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.8% ปิดที่ 1,192.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากขึ้นไปถึง 1,197.54 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐปิดบวก 1.1% ปิดที่ 1,190.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)
สังกะสีพุ่งสูงสุดในรอบเก้าปีในวันจันทร์และตะกั่วแตะจุดสูงสุดรอบห้าปี จากรายงานว่าจีนจะลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานและสัญญาณการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์จากประเทศที่ใช้โลหะเป็นอันดับต้นของโลกทาให้เกิดแรงซื้อ ราคาสังกะสีอ้างอิงตลาด LME บวกกว่า 5% ปิด 2,985 ดอลลาร์ต่อตัน และเป็นจุดสูงสุดนับแต่ ต.ค. ตะกั่วพุ่งกว่า 7% สู่ 2,576.50 ดอลลาร์สหรัฐสูงสุดในรอบกว่าห้าปี สุดท้ายปิดที่ 2,523 ดอลลาร์ต่อตันหรือ 5.5% (Reuters)

Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!