- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 25 November 2016 18:38
- Hits: 3420
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อค่าบวก/ถือเมื่อ SET ยังเหนือ 1480'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้อ่อนตัวลง 6.25 จุดปิดที่ 1490.11โดยมีแรงขายทำกำไรออกมาในหุ้นที่ปรับขึ้นหลายวันต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่เหนือเส้น SMA10 ซึ่งเป็นแนวฟิวเตอร์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือเป็นซื้อสุทธิ สำหรับปัจจัยสำคัญ/จับตาในระยะสั้นมาก ได้แก่
- Dollar index ขึ้นไปแตะ 102.05 แล้วพักในวัน ล่าสุดยังแกร่งที่ 101.7
+/ ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบ US$...เป็นบวกกับกลุ่มส่งออก ซึ่งหุ้นกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ที่ได้ประโยชน์ เช่น HANA, KCE, SVI แต่ DELTA ได้ประโยชน์ไม่มากเพราะนำเข้าวัตถุดิบสูง กลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็น VNG ซึ่งมีรายได้จากส่งออกสุทธิ 35-40% ส่วนกลุ่มพลังงานมีรายได้อิง US$ แต่ก็ชดเชยด้วยผลลบในส่วนเงินกู้ยืมรูป US$ กลุ่มอาหาร GFPT มีรายได้จากส่งออกสุทธิ 10-15% ส่วน TU มีรายได้และต้นทุนรูป US$ ใกล้เคียงกัน
+ รัฐบาลเตรียมออกมาตรการชอปช่วยชาติเพื่อกระตุ้นการบริโภค & ท่องเที่ยว เช่น การนำเงินค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (กำลังพิจารณา), การลดภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางจาก 5-20% เป็น 0% (มีผลบังคับใช้ก.พ.-มี.ค.60)...เป็นบวกกับกลุ่มค้าปลีก และท่องเที่ยว หุ้นเด่นเชิงกลยุทธ์ เป็น CPALL, ROBINS, ERW, AOT
+ มีความหวังว่าแรงซื้อ LTF จะช่วยหนุน แม้อาจจะอ่อนลง เพราะตั้งแต่ปีนี้ LTF ต้องถือครอง 7 ปีปฎิทิน (เดิม 5 ปีปฎิทิน)
กลยุทธ์ : ซื้อใหม่ยังเน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น ERW
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณพลิกเป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ต่ำกว่า 1480 ลดพอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุน แนวต้านระยะสั้น 1500, 1510-1520 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ TPOLY, UV, BRR, EKH, FSMART
หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ SPRC, IFEC, MTLS, SMT, PTG, RJH, TMT
หุ้นที่หลุด List คือ TWPC, FN
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
- ญี่ปุ่น : ดัชนี CPI เดือนต.ค.ลดลง 0.4% ทำสถิติลดลงติดต่อกัน 8 เดือน
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.4%YoY ในเดือนต.ค. ซึ่งทำสถิติลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 โดยหลักมาจากราคาพลังงานที่ต่ำลง นักวิเคราะห์ประเมินว่าเงินเฟ้อที่ติดลบ ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการผลักดันให้เงินเฟ้อเคลื่อนไหวที่ระดับ 2% ที่เป็นเป้าหมายระยะยาว แม้ว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่แล้วก็ตาม
+ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น : ปรับขึ้นรับเงินเยนอ่อน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้นต่อเนื่อง 6 วันทำกำไร ตอบรับการอ่อนค่าของเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวภาคส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ หุ้น TOYOTA, HONDA ปรับขึ้นดี
ตลาดหุ้นสหรัฐ & โภคภัณฑ์ปิดทำการเมื่อวานนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐ & โภคภัณฑ์ปิดทำการเมื่อวานนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ส่วนดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับขึ้นประมาณ 0.2-0.3% ในเช้าวันนี้ จับตาตัวเลข PMI เดือนพ.ย.ที่รายงานโดยมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ รัฐบาลเตรียมออกมาตรการชอปช่วยชาติเพื่อกระตุ้นการบริโภค & ท่องเที่ยว
ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษามาตรการกระตุ้นการบริโภคและสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอครม.พิจารณาภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยที่พิจารณามีหลายอย่าง เช่น การนำเงินค่าซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี (ซึ่งปีก่อนมีระยะเวลา 7 วัน ปีนี้อาจขยายเป็น 15 วัน หรือ 1 เดือน โดยคล่อมเวลาทั้งในปลายปี 59 และต้นปี 60), การลดภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางจาก 5-20% เป็น 0% ซึ่งส่วนนี้พิจารณาเสร็จแล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้เดือนก.พ.-มี.ค.60
นับเป็นบวกกับกลุ่มค้าปลีก และท่องเที่ยว ซึ่งหุ้น Top picks เชิงกลยุทธ์ เป็น CPALL, ERW, AOT และ ROBINS (Not rated)
+/- ผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ
การอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลดีต่อกลุ่มส่งออก & กลุ่มที่มีรายได้อิงเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ที่ได้ประโยชน์โดดเด่น เช่น HANA ซึ่งมีรายได้จากการส่งออกสุทธิ 31% ของรายได้ทั้งหมด, KCE มี 25% , SVI มี 16% แต่ DELTA ได้ประโยชน์ไม่มากเพราะนำเข้าวัตถุดิบสูง ทำให้รายได้ส่งออกสุทธิอยู่ที่เพียง 3%
กลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็น VNG ซึ่งมีรายได้จากส่งออกสุทธิ 35-40%
ส่วนกลุ่มพลังงานมีรายได้อิง US$ แต่ก็ชดเชยด้วยผลลบส่วนเงินกู้ยืมรูป US$ (เงินบาทอ่อนทำให้มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในส่วนเงินกู้)
สำหรับกลุ่มอาหาร GFPT มีรายได้จากส่งออกสุทธิ 10-15% ส่วน TU รายได้และต้นทุนที่อยู่ในรูปดอลลาร์สหรัฐใกล้เคียงกัน
+ CK (ราคาปิด 30.50 บาท) : มีโอกาสได้งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ลาวอีกแห่ง
ทาง CKP กำลังเจรจากับรัฐบาลลาวเพื่อลงนามใน MOU ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (Hydropower Plant) ที่มีกำลังการผลิต 1,400-1,500 MW มูลค่าโครงการราว 1.0-1.03 แสนล้านบาท ส่วนการผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการไซยะบุรีขนาด 1,285 MW มูลค่าโครงการ 9.4 หมื่นล้านบาทคาดว่าจะเริ่มได้ในเดือนต.ค. 2562 โดยปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการ 66% (ซึ่งเร็วกว่าแผนประมาณ 4 เดือน) คาดว่าจะสรุปและประกาศโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ได้ภายใน 4Q59
นับเป็นบวกกับ CK และ CKP ในระยะยาว ซึ่งเราเชื่อว่า CK จะได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่แน่นอนถ้า CKP ได้งาน โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 63 นอกจากนั้น CK ยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก CKP จากการที่ถือหุ้นอยู่ 30.25% ด้วย ในเชิงกลยุทธ์ เราแนะนำซื้อ CK (ราคาพื้นฐาน 40 บาท) ส่วน CKP (Not rated)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]