- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 23 November 2016 16:52
- Hits: 4413
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อค่าบวก/ถือเมื่อยืนเหนือ 1475'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อ หนุนโดยแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน และหุ้นกลาง-เล็กที่กระจายไปในกลุ่มต่างๆ มูลค่าซื้อขายไม่ได้คึกคักมาก เงินดอลลาร์ทรงถึงเริ่มอ่อนตัวลงบ้าง นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท ต่างชาติและพอร์ตบล.ขายสุทธิ ส่วนรายย่อยซื้อ/ขายใกล้เคียงกัน
สำหรับปัจจัยสำคัญ/จับตาในระยะสั้นมาก ได้แก่
- Dollar index มีอ่อนลงไปที่ 100.66 แต่ก็ดีดกลับมาที่ 101...ยังกดดันตลาดหุ้นเกิดใหม่ & ราคาทองคำ
ดัชนี DJIA ปิดเหนือ 19,000 จุด...นักลงทุนเชื่อว่านโยบายทรัมป์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและกำไรบจ. แม้สุ่มเสี่ยงต่อความยั่งยืน
+/ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย&ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (จาก 300 เป็น 305-310 บาท/วัน) กระตุ้นการบริโภคให้เติบโตในปีหน้า แต่ยังจะไม่มากเพราะจำกัดด้วยความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ต่ำและภาระหนี้ครัวเรือนสูง...เน้นเลือกซื้อ หุ้นเด่น CPALL, CPN
+ หุ้นกลุ่มน้ำมัน (PTTEP, PTT) ถ่านหิน (UMS) และโครงสร้างเหล็ก (STPI, BJCHI) ได้อานิสงค์จากนโยบายทรัมป์ ที่จะกลับมาหนุน Shale oil และถ่านหินสะอาด เพื่อหนุนการจ้างงาน (จากที่รัฐบาลโอบามาหนุนพลังงานหมุนเวียน)
กลยุทธ์ : ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว ส่วนหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก ต่ำกว่า 1475 ลดพอร์ตตาม/ตัดขายขาดทุน แนวต้านระยะสั้น 1490-1500, 1510 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ MTLS, BIG, ABICO, FN
หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ TWPC, SPRC, IFEC
หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take Profit เป็น FSMART, JMT, STA, ROBINS
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านมือสองต.ค.เพิ่มดี
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) ซึ่งระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 2.0%MoM สู่ระดับ 5.6 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.5% สู่ระดับ 5.43 ล้านยูนิต
-/ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ทะยานขึ้นเหนือระดับ 19,000 จุดเป็นครั้งแรก
ดัชนี DJIA ปิดปรับขึ้น 19,023.87 จุด เพิ่มขึ้น 67.18 จุด หรือ +0.35% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,202.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.76 จุด หรือ +0.22% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,386.35 จุด เพิ่มขึ้น 17.49 จุด หรือ +0.33% เพราะนักลงทุนมองว่านโยบายของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษี การเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน และการลดกฎข้อบังคับในหลายด้าน จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคส่วนต่างๆ ซึ่งรวมถึงภาคอุตสาหกรรมและภาคธนาคาร และทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตดีขึ้น
ราคาน้ำมันดิบ : แกว่งในกรอบแคบ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 21 เซนต์ หรือ +0.4% ปิดที่ 48.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ขยับขึ้น 22 เซนต์ หรือ +0.5% ปิดที่ 49.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้นักลงทุนรอดูว่าการประชุม 30 พ.ย.นี้จะสามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการจำกัดปริมาณการผลิตได้หรือไม่ เพราะล่าสุดมีรายงานข่าวว่าอิหร่านและอิรักแสดงท่าทีลังเลที่จะให้ความร่วมมือในข้อตกลงดังกล่าว
ราคาทองคำ : ขยับขึ้นเล็กๆ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.4 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ระดับ 1,211.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยการยืนแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะนโยบายของทรัมป์, โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยกลางธ.ค.59 มีสูงมาก และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในระยะสั้น
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
ไทย : รัฐออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย & การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อหนุนการบริโภค
เมื่อวานนี้ครม.อนุมัติการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 69 จังหวัดจาก 300 บาท/วัน เป็น 305-310 บาท/วัน (มี 8 จังหวัดที่คงอัตราค่าแรงไว้เท่าเดิม) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.60 ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้เติบโตในปีหน้า รวมทั้งออกมาตรการช่วยเหนือผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร โดยผู้มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/ปีได้เงินช่วยเหลือครั้งเดียว 3 พันบาท/คน (มีราว 3.1 ล้านคน) และคนที่มีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท/ปีแต่ไม่เกิน 1 แสนบาท/ปี ให้เงินช่วยเหลือครั้งเดียว 1.5 พันบาท/คน (มีราว 2.3 ล้านคน) ใช้เงินงบประมาณโดยรวม 1.275 หมื่นล้านบาท โดยให้ KTB, ธ.ก.ส., ออมสิน ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคาร
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : คาดว่ามาตรการรัฐที่ออกมาดังกล่าวนี้จะช่วยกระตุ้นให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่อาจจะยังไม่มากเพราะจำกัดด้วยความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ยังต่ำและภาระหนี้ครัวเรือนสูง เรายังคงประมาณการว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 60 จะขยายตัวระหว่าง 2.5-3.0% (จากราว 3% ในปี 59) อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นนี้ก็เป็น Sentiment ทางบวกกับหุ้นในกลุ่มค้าปลีก & ให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์เป็น BIGC (Not rated), CPALL, MAKRO, ROBINS, MC, CPN เป็นต้น โดยหุ้นที่เป็น Top Picks คือ CPALL (ราคาพื้นฐาน 1 ปีข้างหน้า 75 บาท) และ CPN (ราคาพื้นฐาน 1 ปีข้างหน้า 70 บาท)
+ หุ้นกลุ่มน้ำมัน ถ่านหิน และโครงสร้างเหล็ก ได้รับประโยชน์จากนโยบายทรัมป์
นายทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ มีนโบยายเกี่ยวกับพลังงาน คือ การยกเลิกข้อจำกัดด้านการผลิตพลังงานในสหรัฐ โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale oil) และถ่านหินสะอาด เพื่อหนุนการจ้างงานในสหรัฐ หลังจากที่อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซตกต่ำ รวมทั้งรัฐบาลโอบามาหนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
สำหรับกลุ่มและหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ คือ กลุ่มผู้สำรวจและผลิตน้ำมัน คือ PTTEP, PTT กลุ่มถ่านหิน คือ BANPU (ซึ่งจะดีกับผู้ค้าถ่านหิน เช่น UMS เป็นต้นด้วย) กลุ่มผู้ผลิตโครงสร้างเหล็ก คือ BJCHI, STPI ซึ่งจะมีโอกาสได้งานใหม่ขนาดใหญ่มากขึ้น (สำหรับ STPI คาดการณ์ว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องผลการประมูลโครงการ Pacific Northwest ประมาณสิ้นปี 59 หรือต้นปี 60 ซึ่งทางบริษัทจะเป็นผู้รับเหมาช่วงต่อจากผู้รับเหมาหลัก หรือ EPC มูลค่างานราว 1-2 หมื่นล้านบาท)
+ CPN (ราคาปิด 54.75 บาท) : ประเมินกำไรสุทธิเติบโตแกร่ง 17% ปีนี้และ 13% ปีหน้า
บริษัทรายงานกำไร 3Q59 เพิ่มขึ้น 29%YoY โดยเป็นผลจากรายได้ที่เติบโต (+14%YoY) และมาร์จิ้นสูงขึ้นเป็น 49% จาก 47% ใน 3Q58 อัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% รายได้จากโรงแรมดีขึ้น 10% โดยหลักมาจากโรงแรมฮิลตัน พัทยามีอัตรการเข้าพักเพิ่มเป็น 96% ใน 3Q59 จาก 85% ใน 2Q59 และโรงแรมเซ็นทารามีอัตราการเข้าพักสูงขึ้นเป็น 80% ใน 3Q59 จาก 73% ใน 2Q59 ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะซบเซา
ในเชิงกลยุทธ์ เราชอบ CPN ที่มีธุรกิจมั่นคง โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ค้าปลีกสูงที่ 93% และอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานแกร่งที่ 96% ขณะที่อัตราค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกในช่วง 9M59 สามารถปรับขึ้นได้ 2.2%YoY แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ค่อยดีนัก ทั้งนี้เพราะโครงการอยู่ในทำเลที่ดีและแบรนด์เซ็นทรัลเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากลูกค้ามาก แนวโน้มยังไปได้ดี จากการที่มีแผนเปิดสาขาเพิ่มต่อเนื่อง (ขณะนี้มี 4 โครงการที่กำลังก่อสร้าง และจะเปิดดำเนินการในปี 60-61 ซึ่งรวมถึงโครงการที่มาเลเซียด้วย) นอกจากนั้นตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไปจะมีรายได้จากคอนโดเข้ามาช่วยเสริมด้วย โดยบริษัทมีแผนเปิดขายโครงการคอนโดปีละ 2-3 แห่งมูลค่ารวมประมาณ 2-3 พันล้านบาท และยังคงจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯเมื่อ CPNRF ได้แปลงเป็น REIT แล้ว ซึ่งจะบันทึกกำไรเข้ามาและมีเงินไปลงทุนขยายธุรกิจต่อโดยไม่ต้องกู้เพิ่มมาก แนะนำซื้อลงทุน โดย DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 70 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]