- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 23 November 2016 16:04
- Hits: 1859
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แม้ SET ยังขยับขึ้นสลับกับผันผวน แต่ก็ลุ้นบวกต่อได้เช่นเดิม…
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ขยับบวกต่ออีกกว่า 10 จุดในช่วงแรกของการซื้อขาย ตามภาวะตลาดหุ้นเอเชียที่เคลื่อนไหวเป็นบวก จากการฟื้นตัวต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก หลังรัสเซียประกาศความพร้อมที่จะร่วมมือในการตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน และแสดงความเชื่อมั่นว่ากลุ่มโอเปกจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในการประชุมวันที่ 30 พ.ย.นี้ ประกอบกับค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ยังไม่มีปัจจัยบวกชัดเจน ทำให้ดัชนีแกว่งบวกในกรอบจำกัดอยู่
แนวโน้มตลาดวันนี้ : หลัง SET ขยับบวกขึ้นมาพอควรในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยหนุนยังไม่ชัดเจนนัก ทำให้ตลาดค่อนข้างแกว่งผันผวนมากขึ้น ดังนั้นต้องระวังการปรับพักตัวลงของดัชนีไว้ด้วย ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็มีจังหวะอ่อนตัวให้เห็นอยู่ อย่างไรก็ตาม FSS ยังคาดว่ากรอบลบของ SET ช่วงนี้ถ้ามีเกิดขึ้นก็น่าจะยังค่อนข้างจำกัด หลังตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงขยับบวกได้ดี ซึ่ง FSS มองว่าทิศทางการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่เริ่มเบาลง ทำให้บทบาทของกองทุนในประเทศน่าจะมีมากขึ้น และเริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายปีแล้วด้วย จึงสามารถคาดหวังเม็ดเงิน LTF/RMF ที่จะเข้ามาช่วยหนุนตลาดในช่วงต่อไปได้
กลยุทธ์ : หลังจากเลือกหุ้นซื้อแล้ว เรายังแนะนำให้เน้นถือต่อเนื่องไว้ก่อนดีกว่า เพราะคาดว่า SET ยังแกว่งบวกต่อได้
แนวรับ 1483-1480 , 1478-1474 จุด
แนวต้าน 1488-1492 , 1494-1498 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : EKH , BIG , BEC(short)
Fund Flow วานนี้เงินทุนไหลเข้าภูมิภาคเป็นวันแรกในรอบ 20 วันทำการ US$326ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$293ล้าน และไต้หวัน US$137ล้าน ขณะที่ยังไหลออกจากกลุ่ม TIP รวม US$100ล้าน นำโดยอินโดนีเซีย US$55ล้าน และไทย US$28ล้าน แนวโน้มเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคแต่เริ่มชะลอลง ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นก่อนประชุมโอเปกสิ้นเดือนนี้เป็นปัจจัยกระตุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากนั้นตลาดน่าจะกลับมาติดตามการประชุม Fed อีก
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) ได้เวลาลงทุนในหุ้น Big cap. วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นและพันธบัตรไทยลดลงมาก และ net long Index Futures ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ถึง 6.7 พันสัญญา ช่วยให้ยอดขายทั้ง 3 ตลาดลดลงเหลือเพียง 258 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศซื้อต่อเนื่องทั้ง 3 ตลาด เราเชื่อว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คือต่างชาติขายน้อยลง กองทุนซื้อมากขึ้น หุ้น big cap. ที่ undervalued ยังน่าสะสม SCC (ราคาพื้นฐาน 600 บาท), AOT (ราคาพื้นฐาน 470 บาท), SCB (ราคาพื้นฐาน 174 บาท), BAY (ราคาพื้นฐาน 42 บาท), PTTGC (ราคาพื้นฐาน 70 บาท)
(+) ครม.อนุมัติขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำขึ้นวันละ 5-10 บาทเป็น 305-310 บาทใน 69 จังหวัด มีผล 1 ม.ค. 2017 ทำให้ค่าจ้างแรงงานทั้งประเทศเพิ่มขึ้น 1.7% ไม่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ และเชื่อว่าไม่เป็นภาระต่อผู้ประกอบการ และให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500-3,000 บาท คิดเป็นเงินงบประมาณ 12,750 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายและประคอง GDP 4Q16 ให้โต 3.2-3.3% Y-Y กลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์ที่มีฐานลูกค้าระดับกลาง-ล่างได้ประโยชน์ เช่น ROBINS, KAMART, FSMART, GLOBAL, MTLS ส่วน
(+) กระตุ้นท่องเที่ยว ครม.ออกมาตรการยกเว้นค่าวีซ่า 1,000 บาท/คน เป็นเวลา 3 เดือน (1 ธ.ค. 2016-28 ก.พ. 2017) และขยายระยะเวลาพำนักในไทยสำหรับกลุ่ม Long stay visa เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นบวกต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และลดผลกระทบจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ
(-) SAMART Group ปีหน้าฟื้นแต่ยังไม่ปกติ ธุรกิจขายมือถือของ SIM ยังวิกฤตและไม่มีทางออกเพราะการแข่งขันในธุรกิจนี้ที่สุดแล้วจะเหลือแต่ Brand ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ ส่วนธุรกิจ Content และ E-Commerce มีขนาดเล็กกว่ามากและชดเชยรายได้จากธุรกิจมือถือไม่ได้ ปรับราคาพื้นฐานปีหน้าลงเหลือ 0.50 บาท คงคำแนะนำขาย ส่วน SAMTEL เราปรับกำไรปีนี้ลงเป็น -54% Y-Y และฟื้นตัวปี 2017 +70% Y-Y เป็น 291 ล้านบาทแต่เป็นระดับกำไรที่ต่ำกว่าปกติที่ทำได้ 700 ล้านบาท/ปี ปรับลดราคาพื้นฐานปีหน้าลงเหลือ 11 บาท แนะนำเพียงถือ เพราะ upside จำกัด สำหรับ SAMART ถูกฉุดอย่างหนักจาก SIM เราปรับกำไรปีนี้ลงเป็น -78% Y-Y และฟื้นจากฐานต่ำ +89% Y-Y ในปีหน้าตามการฟื้นตัวของ SAMTEL และธุรกิจ Non-Listed เราปรับราคาพื้นฐานปีหน้าลงเหลือ 14 บาท แนะนำเพียงถือ ในจำนวนทั้งกลุ่ม SAMTEL จะฟื้นตัวได้เร็วสุดแต่ยังไม่น่าลงทุนเวลานี้
(+) หุ้นที่ถูกเพิ่มในดัชนี MSCI มีผล 30 พ.ย. นี้ หุ้นขนาดใหญ่มี BJC และ KCE ส่วนหุ้น Small cap. มี COM7, MALEE, TKN, TFG
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
23 พ.ย. - สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (ต.ค.),ยอดขายบ้านใหม่ (ต.ค.)
- ยูโรโซน:Markit Eurozone Composite PMI (พ.ย.)
24 พ.ย. - สหรัฐ:ตลาดหุ้นปิด วัน Thanksgiving, FOMC Meeting Minutes
25 พ.ย. - ไต้หวัน: 3Q16 GDP
28 พ.ย. - ไทย: ดุลการค้า,ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (ต.ค.)
29 พ.ย. - ไทย: TNRเข้าเทรด (ราคา IPO 16 บาท)
- สหรัฐ: 3Q16 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
- ยูโรโซน:ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ (พ.ย.)
30 พ.ย. - การประชุม OPEC
- ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.
- อินเดีย: 3Q16 GDP
1 ธ.ค. - ไทย:ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)
-จีน:Manufacturing & Non-manufacturing PMI (พ.ย.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังปิดทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่องหลังตัวเลขยอดขายบ้านเก่าออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนจับตาดูนโยบายของนายทรัมป์
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในบวกได้เช่นกันโดยนักลงทุนยังคาดหวังเชิงบวกว่ากลุ่ม OPEC จะบรรลุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตได้ปลายเดือนนี้
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังเปิดค่อนมาในแดนบวกได้ตามภูมิภาคอื่น แต่กรอบการบวกเริ่มแคบลง
(0) ค่าเงินบาทแกว่งตัวออกข้าง ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.40-35.50 บาท/ดอลลาร์
(0) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ลดลง 0.21 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 48.03 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยนักลงทุนยังจบตาดเกี่ยวกับการประชุม OPEC ปลายเดือนนี้ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงตรึงกำลังการผลิตได้หรือไม่
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,211.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนรอรายงานการประชุมเดือน พ.ย. ของ FED ซึ่งอาจแสดงให้เห็นถึงทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch