- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 22 November 2016 16:46
- Hits: 4616
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้รีบาวด์เล็กน้อย ปิดตลาด +4.44 จุดที่ 1478.30 การซื้อขายซบเซา นักลงทุน Wait & See รอดูทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในกลางเดือนธ.ค.59 มีเกินกว่า 90% แล้วนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 2.6 พันล้านบาท พอร์ตบล.ขายสุทธิ 620 กว่าล้านบาท ส่วนอีก 2 กลุ่มที่เหลือซื้อสุทธิ สำหรับปัจจัยสำคัญ/จับตาในระยะสั้นมาก ได้แก่
• US Bond Yield และทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดัชนีค่าเงินดอลลาร์ได้อ่อนลงเล็กน้อยจากระดับสูงสุด 101.44 ซึ่งหากพักฐานมีนัยสำคัญ ก็จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นและราคาทองคำในช่วงสั้น แต่ถ้าอ่อนเพียงเล็กน้อยและชั่วคราว ก็จะกดดันต่อไป
• แรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ซึ่งหากสวนซื้อกับต่างชาติในมูลค่าสูงก็จะช่วยพยุงตลาดได้ในระดับหนึ่ง
• GDP Growth 3Q59 ของไทย +3.2%YoY เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด สภาพัฒน์ฯคาดปีนี้โตที่ +3.2% (DBS คาด +3.3%)
• มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในเมือง (เตรียมไว้แล้ว รอประกาศใช้), การยกเว้นภาษีค่าซื้อสินค้าประเภทเครื่องสำอาง &น้ำหอม หรือช็อปปิ้งพาราไดซ์ (กำลังพิจารณาผลได้/ผลเสีย)
กลยุทธ์ : ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้นและดัชนี, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงราคาปรับฐาน/อ่อนตัว ส่วนหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น TKN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นลบ และค่าลบในวันนี้ดูไม่ดี ควร Wait & See ต่ำกว่า 1470 Stop loss แนวต้านระยะสั้น 1490, 1500 จุด ส่วนการ SCAN หุ้น พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ JMT, STA, IFEC, ROBINS หุ้นที่ยังอยู่ใน List ได้แก่ TWPC, SPRC, FSMART หุ้นที่หลุด List คือ TISCO และหุ้นที่ให้หาจังหวะ Take Profit เป็น GLOBAL, EPG, SCN, SPA, TMT
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปิดบวก 88.76 จุด รับราคาน้ำมันพุ่ง,ดอลล์อ่อน
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,956.69 จุด เพิ่มขึ้น 88.76 จุด หรือ +0.47% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,368.86 จุด เพิ่มขึ้น 47.35 จุด หรือ +0.89% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,198.18 จุด เพิ่มขึ้น 16.28 จุด หรือ +0.75% โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีได้ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากรัสเซียประกาศความพร้อมที่จะร่วมมือในการตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออก
+ ราคาน้ำมันดิบ : น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.80 หลังรัสเซียประกาศพร้อมตรึงการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.80 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 47.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.04 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 48.90 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซียได้กล่าวนอกรอบการประชุมเอเปกครั้งที่ 24 ที่ประเทศเปรู เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่ารัสเซียพร้อมที่จะตรึงกำลังการผลิตน้ำมัน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีปูตินยังคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มโอเปกจะบรรลุข้อตกลงเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต ในการประชุมวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งจะชว่ ยสร้างเสถียรภาพในตลาดน้ำมันและช่วยหนุนราคาน้ำมันให้แข็งแกร่งขึ้น
• ราคาทองคำ : ทองปิดบวก 1.1 ดอลล์ หลังดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.1 ดอลลาร์ หรือ 0.09% ปิดที่ระดับ 1,209.8 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยทองคำดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มอ่อนค่าลง ซึ่งช่วยกระตุ้นแรงซื้อในตลาดทองคำ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายหลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• เศรษฐกิจไทย : GDP ไตรมาส 3/59 เติบโต 3.2%YoY และ 0.6%QoQ
# เศรษฐกิจ 3Q59 เติบโตตามที่ตลาดคาดไว้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/59 ขยายตัวได้ 3.2% ตามตลาดคาด และเติบโต 0.6%QoQ, SA ส่วน 9M59 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.3%YoY ปัจจัยหนุน คือ
1) การใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ฟื้นตัวต่อ (+3.5%YoY ใน 3Q59 และ +3.2%YoY ใน 9M59) ซึ่งมาจากรายได้ภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น & มาตรการกระตุ้นของภาครัฐ,
2) การลงทุนภาครัฐที่เติบโตดี (+6.3%YoY ใน 3Q59 และ +10.3%YoY)
3) มูลค่าส่งออกพลิกเป็น +0.4%YoY ใน 3Q59 (โดยหลักมาจากราคาส่งออกที่ +0.8%YoY แต่ปริมาณส่งออกหดตัวที่ -0.3%YoY โดยหดตัวในสินค้าเกษตรและประมง) ส่วนงวด 9M59 ส่งออก -1.2%YoY
4) ภาคท่องเที่ยวเติบโตแกร่ง รายได้ธุรกิจโรมแรม&ภัตตาคาร +15.9%YoY ใน 3Q59 และ +14.8%YoY ใน 9M59 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ +13.1%YoY และ +12.4%YoY รายได้ภาคท่องเที่ยว +17.1%YoY ใน 3Q59 และ +17.9%YoY ใน 9M59
# ภาคส่วนที่ยังฟื้นตัวช้า คือ การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งใน 3Q59 หดตัวที่ -0.5%YoY และ 9M59 เป็น
+0.6%YoY ซึ่งเป็นเพราะการลงทุนในรถบรรทุกและรถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ & สิ่งก่อสร้างภาคเอกชนลดลงต์โดยสารขนาดใหญ่ ส่วนการลงทุนในสิ่งก่อสร้างของภาคเอกชนลดลง 0.2%
# แนวโน้ม 4Q59 เศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตอ่อนลง อันเนื่องจากมีเหตุการณ์บ้านเมือง และการจัดการทัวร์ศูนย์เหรียญทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง โดยประเมินว่าจะลดลงไปประมาณ 2-3 แสนคนใน 4Q59 และอาจต่อเนื่องถึง 1Q60 ส่วนปัจจัยที่ยังขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจคือ การลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะ +10% ได้ในปีนี้ ส่วน GDP Growth ทั้งปี 59 ทางสภาพัฒน์คาดไว้ที่ +3.2% (ส่วน DBS Bank ประมาณการไว้ที่ +3.3%)
+ หุ้นป้นผลสูง : ทางเลือกหนึ่งในยามตลาดหุ้นไม่แน่นอนและ Upside จำกัด
หุ้นปันผลสูง (High dividend stock) เป็นทางเลือกหนึ่งในยามที่ตลาดหุ้นผันผวน มีความไม่แน่นอน ซึ่งทำให้ Upside ค่อนข้างจำกัด โดยหุ้นปันผลจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างแน่นอนและสม่ำเสมอกับผู้ลงทุนในยามที่หา Capital gain ในตลาดได้ยาก ขณะเดียวกันเมื่อจ่ายปันผลสูง ก็ทำให้โอกาสจะเกิด Capital loss มีน้อยลง (เพราะปันผลพยุงราคาหุ้นเอาไว้) สำหรับหุ้นปันผลสูงที่น่าสนใจแต่ละ Sector ใน DBSV coverage เป็นดังนี้
# กลุ่มธนาคาร เป็น TCAP, TISCO ให้ Yield ประมาณ 4.5% ต่อปี
# กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็น TMT คาด Yield สูงถึง 10% สำหรับปี 59 ขึ้น XD ประมาณต้นมี.ค. จ่ายปีละ 1 ครั้ง
# กลุ่มค้าปลีก เป็น MC ให้ Yield 5.0-5.5% ต่อปี
# กลุ่มพลังงาน เป็น BCP ให้ Yield 5.0-5.5% ต่อปี
# กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ เป็น DELTA ให้ Yield ประมาณ 4% ต่อปี
# กลุ่มสื่อสาร เป็น JASIF, DIF ให้ Yield 7-8% ต่อปี รองลงมาเป็น ADVANC & INTUCH ให้ Yield ปี 59 ราว
7% แต่ปี 60-61 จะลดลงเป็น 5% ต่อปี
# กลุ่มปิโตรเคมี เป็น PTTGC ใหั Yield ประมาณ 4.5% ต่อปี
# กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็น LH, QH ให้ Yield ประมาณ 5-7% ต่อปี
# กลุ่มอื่นๆ ได้แก่ BTSGIF ให้ Yield 6-6.5% ต่อปี, CPNRF 5.5-6.0% ต่อปี, CPTGF 6% ต่อปี, LHHOTEL 6.5-7% ต่อปี
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]