- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 11 November 2016 18:09
- Hits: 2083
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PS (จากถือเป็นซื้อ) , BEM (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อ 2 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 840 กว่าล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2.8 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อขายใกล้เคียงกัน ส่วน SET Index ปรับขึ้น 4.83 จุดที่ 1514.26 การซื้อขายคึกคักที่ 7 หมื่นกว่าล้านบาท
สำหรับวันนี้ตลาดหุ้นยังอยู่ใน Sentiment บวกแต่ก็ควรระวังการแกว่งจากแรงขายทำกำไรแบบ Sell on fact ในหุ้นที่ปรับขึ้นแรงด้วยส่วนปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดในช่วงนี้ คือ รายงานผลประกอบการ 3Q59 ซึ่งหุ้นขนาดกลาง-เล็กจำนวนมากที่มีกำไรสุทธิขยายตัวแกร่งและมีแนวโน้มดี ทั้งนี้จากหุ้นใน DBSV Coverage เราพบว่าแนวโน้มการเติบโตกำไรปี 60 ของหุ้นที่อยู่ใน SET50 เฉลี่ยอยู่ที่ 7% ขณะที่หุ้นนอก SET50 คาดว่ากำไรจะเติบโตเฉลี่ย 18% กลยุทธ์ : เลือกซื้อเก็งกำไรตามรอบด้วยค่าบวกของดัชนีและหุ้น, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงที่ราคาพักฐาน หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น UTP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ค่าลบ/ต่ำกว่า 1500 จุดดูไม่ดีควรลดพอร์ตตาม ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1520, 1530 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น PTL, TTA. ORI ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น BCP, ASIMAR, LOXLEY, CBG, TISCO สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ RJH, AJ, EPG, TSE, MTLS, THANI, STPI หุ้นที่หลุด Liste คือ JTS, MAJOR
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิด +1.17%
ดัชนี DJIA ปิดตลาดที่ 18,807.88 จุด เพิ่มขึ้น 218.19 จุด, +1.17% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,208.80 จุด ลดลง 42.27 จุด หรือ -0.80% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,167.48 จุด เพิ่มขึ้น 4.22 จุด หรือ +0.20% ปัจจัยหนุน คือ นักลงทุนคาดการณ์ว่าทรัมป์จะดำเนินนโยบายสำคัญต่างๆได้ไม่ยากหลังครองเสียงข้างมากทั้งในทำเนียบขาวและสภาคองเกรส โดยนโยบายที่ถูกจับตา คือ การผ่อนคลายกฎข้อบังคับของภาคธนาคาร, การปรับลดภาษีของภาคธุรกิจ (จาก 35% เป็น 15%) และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค หุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มเวชภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์ผ่อนคลายกฎข้อบังคับด้านการกำหนดราคายา
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานรายสัปดาห์ออกมาดีกว่าคาด
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 11,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 254,000 ราย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะลดลงสู่ระดับ 260,000 ราย
•/- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 61 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 44.66 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 52 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 45.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดัน คือ อุปทานน้ำมันที่ยังคงสูงโดย IEA เปิดเผยรายงานว่าการผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกมีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงขึ้นในเดือนพ.ย.59 หลังเดือนต.ค.ผลิตเพิ่มขึ้น 230,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 33.83 ล้านบาร์เรล/วัน
- ราคาทองคำ : ร่วงลงหลังเลือกตั้งสหรัฐมีความชัดเจน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 7.10 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ระดับ 1,266.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นผลจากการดีดกลับของค่าเงิน US$
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ ดัชนีเชื่อมั่นต่างชาติ +42%
สภาธุรกิจตลาดทุนไทยชี้ดัชนีเชื่อมั่นต่างชาติเดือนพ.ย.59 พุ่ง 42% เหตุประเมินการเมืองในประเทศมีความชัดเจนเดินได้ตามแผนด้านตลาดหลักทรัพย์ยันพื้นฐานหุ้นไทยแกร่ง แนะให้ติดตามเศรษฐกิจโลกซึ่งอาจจะส่งผลต่อกระแสเงินลงทุนในระยะต่อไป
• ธนาคารพาณิชย์ : ธปท.คาด NPL ยังปรับขึ้นและน่าจะ Peak ในปี 60
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/2559 พบว่าคุณภาพของสินเชื่อด้อยลงอย่างต่อเนื่อง จากสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในสิ้นไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.89% หรือมียอดคงค้าง 3.9 แสนล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ 2.72% และสูงสุดอีกครั้งในรอบ 5 ปี จากช่วงไตรมาส 2/2554 ที่เคยขึ้นไปสูงสุด 2.95% รวมทั้งสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (เอสเอ็ม) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.38% จากไตรมาสก่อน 2.17% เป็นการเพิ่มขึ้นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1/2558 โดยพบว่าเอ็นพีแอลบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นสูงสุดรอบ 11 ปี นับตั้งที่เคยมีการเก็บข้อมูลปี 2548 อยู่ที่ 5.10% จากการที่ ธปท.เข้าไปเข้มงวดในจัดชั้นหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจพาณิชย์เพิ่มขึ้นสูงอยู่ที่ 4.96% ในรอบ 5 ปี จากปีช่วงเดียวกันปี 2555 ที่ 2.56% ส่วนที่อยู่อาศัยเริ่มเห็น เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 3 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 4/2558 ปัจจุบันอยู่ที่ 2.81% จากไตรมาสก่อน 2.66% อย่างไรก็ตาม เอ็นพีแอลรถยนต์ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 1.81%
• MC (ราคาปิด 15 บาท) : งบดุลแข็งแกร่ง จ่ายปันผลสูง
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q59 เท่ากับ 132 ล้านบาทลดลง 5%QoQ แต่เติบโตได้ 10%YoY โดยการเติบโตเมื่อเทียบ YoY มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 9%YoY เป็น 880 ล้านบาท และแม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเป็น 55% ใน 3Q59 จาก 59% ใน 3Q58 แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายใน 3Q59 ลดลง และมีกลับรายการภาษีเป็นรายได้ 3 ล้านบาท (จากการที่บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้สิทธิประโยชน์ภาษีจาก BOI) เทียบกับ 3Q58 ที่เสียภาษี 8 ล้านบาท ส่วนการอ่อนลง QoQ นั้นเป็นผลจากรายได้หดตัว 13%QoQ หลังจากทำโปรโมชั่นการตลาดเพื่อเร่งยอดขายไปมากใน 2Q59 ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลงเป็น 6 ล้านบาทจาก 16 ล้านบาทใน 2Q59 แต่อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่ม 41bsp และการกลับรายการภาษีเป็นรายได้ช่วยให้กำไรสุทธิบรรทัดสุดท้ายอ่อนลงน้อยกว่ายอดขาย สำหรับกำไรสุทธิ 9M59 อยู่ที่ 525 ล้านบาท เติบโต 9%YoY ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่บริษัทได้ตั้งไว้ยอดขายในสาขาเดิม (SSS) เติบโต 9.8%YoY ส่วนจุดจำหน่ายในประเทศเพิ่ม 5 แห่งเป็น 848 แห่งในสิ้นก.ย.59 ทั้งนี้ร้านค้าปลีกของตนเองลดลง 1 แห่งเป็น 287 แห่ง (รวมร้าน mcmc ที่ปั๊มปตท. 17 แห่งด้วย), ร้านค้าปลีกในห้างสมัยใหม่เพิ่ม 5 แห่งเป็น 555 แห่ง และรถโมบายเพิ่ม 1 จุดเป็น 6 จุดขาย ด้านจุดจำหน่ายต่างประเทศเพิ่ม 2 แห่ง รวมเป็น 25 แห่งในสิ้น 3Q59
ฐานะการเงินแข็งแกร่งมาก ณ สิ้นก.ย.59 มีฐานะเป็นเงินสดสุทธิ 719 ล้านบาท หรือ 0.9 บาท/หุ้น และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก 720 ล้านบาท เทียบกับที่ติดลบ 265 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากระดับสินค้าคงคลังลดลง 243 ล้านบาทจากสิ้นปี 58 เป็น 2.1 พันล้านบาทในสิ้นก.ย.59 และลูกค้าการค้าลดลงราว 100 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน
แนะนำถือ ให้ราคาพื้นฐาน 15.10 บาท โดยจุดเด่นบริษัท คือ การจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend yield ปีนี้ไว้ที่ 5% และปี 60 เท่ากับ 5.5% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง โดยระดับปันผล/หุ้นครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังใกล้เคียงกัน)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]