- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 10 November 2016 18:02
- Hits: 6512
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ซื้อตามค่าบวก&ถือเมื่อSETเหนือ 1500"
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ผันผวนมาก โดยลดลงไปต่ำสุดที่ 1496.32 จุด (-23.52 จุด) แต่ก็ดีดขึ้นมาปิดในระดับทรงตัวจากวันก่อนหน้าที่ 1509.43 (-0.41 จุด) โดยมีแรงซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มดีกลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Defensive & Domesitic Play ตามที่เราได้ออกกลยุทธ์ไปในระหว่างวันเมื่อผลการเลือกตั้งปธน.สหรัฐออกมาพลิกความคาดหมายของตลาด (ทรัมป์ชนะฮิลลารี) ซึ่งเรามองว่าหุ้นที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศที่เติบโตดีและหุ้นที่มีรายได้ค่อนข้างแน่นอนได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้จำกัด ซึ่งมีอยู่หลายบริษัท
ดังนั้น การอ่อนตัวจึงเป็นจังหวะซื้อ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน Trading Strategy ด้านใน) สำหรับตลาด Equity เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.6 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 520 ล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ ส่วนตลาด Futures SET50 ทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติทำ Net Short 5.1 และ 7.7 พันสัญญา สำหรับเช้าวันนี้ตลาดหุ้นและตลาดเงินดูเสถียรขึ้น หุ้นเอเชียแกว่งแคบรอดูความคืบหน้าของนโยบายสหรัฐหลังได้ประธานาธิบดีคนที่ 45 คือนายทรัมป์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์แข็งกลับขึ้นไปที่ 98 (จากที่อ่อนฮวบไปในวันเมื่อวานนี้ที่ 95.88) เงินบาทอ่อนกลับไปที่ 35 บาท/US$ (จากที่ขึ้นไปแข็งถึง 34.84 บาท/US$ เมื่อวานนี้)
กลยุทธ์ : เลือกซื้อเก็งกำไรตามรอบด้วยค่าบวกของดัชนีและหุ้น, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงที่ราคาพักฐาน หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น BCP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ค่าลบ/ต่ำกว่า 1500 จุดดูไม่ดีควรลดพอร์ตตาม ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1510-1520, 530 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น MTLS, THANI, STPI, MAJOR
ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น RJH, AJ, BCP, ASIMAR, LOXLEY, JTS, CBG, TISCO, EPG, TSE
สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ GPSC, CHOW
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
ทรัมป์คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง โดยผลอย่างไม่เป็นทางการทรัมป์ได้คะแนน 279 เสียง ซึ่งสูงกว่าคะแนน 270 เสียงที่ได้กำหนดไว้ ส่วนคะแนนเสียงของนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตอยู่ที่ 228 เสียง ซึ่งพลิกจากผลสำรวจและแบบจำลองของสำนักวิจัยและมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก รวมทั้งพรรครีพับลิกันยังครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาวและสภาคองเกรสด้วย
สหรัฐ : เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ประเมินว่าโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.มีน้อยลง
ผลสำรวจเทรดเดอร์ในตลาดการเงิน พบว่าส่วนใหญ่ประเมินว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.59 ลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 50% หลังจากทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดพุ่ง 256.95 จุด...นำโดยกลุ่มธนาคารและกลุ่มธุรกิจสุขภาพ
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,589.69 จุด พุ่งขึ้น 256.95 จุด หรือ +1.40% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,251.07 จุด เพิ่มขึ้น 57.58 จุด หรือ +1.11% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2163.26 จุด เพิ่มขึ้น 23.70 จุด หรือ +1.11% หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนคาดหวังว่านโยบายของทรัมป์จะช่วยผลักดันภาคธุรกิจและหนุนภาวะเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายยกเลิกการใช้กฎหมายประกันสุขภาพ หรือ Affordable Care Act , การผ่อนคลายกฎข้อบังคับของภาคธนาคาร, การลดภาษี และกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค นอจากนั้น การที่พรรครีพับลิกันสามารถครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะช่วยให้นโยบายปรับลดอัตราภาษี และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายทรัมป์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่น และหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้ หุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นนำตลาดในสหรัฐ คือ กลุ่มธนาคาร และกลุ่มธุรกิจสุขภาพ
ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นต่อเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 29 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 45.27 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 46.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ตลาดน้ำมันประเมินว่าทรัมป์น่าจะมีนโยบายที่ครอบคลุมเรื่องการสร้างสมดุลในตลาดพลังงาน และ EIA เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล
ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นแรงมากในวัน...แต่ลงมาปิดทรงตัว
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 0.08% ปิดที่ระดับ 1,273.50 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ในระหว่างซื้อขายมีความผันผวนมากโดยพุ่งขึ้นไปสูงสุดเกือบ 1340 ดอลลาร์/ออนซ์ แล้วถอยกลับลงมาปิดใกล้เคียงกับวันก่อนหน้า
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%...ตามคาดของตลาด
วานนี้ (9 พ.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้า แม้มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอลงบ้างจากมาตรการจัดระเบียบผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว (ทัวร์ศูนย์เหรียญ) จากการที่นักท่องเที่ยวจีนลดลงไป (ธปท.ประเมินว่าจะลดลงจากคาดการณ์เดิม 2 แสนคน) การส่งออกปรับตัวดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ การใช้จ่ายภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นแต่อาจกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าคาดจากปัจจัยด้านอุปทาน สำหรับภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่มีความเสี่ยงบางจุดที่ต้องติดตามใกล้ชิด เช่น การด้อยค่าของสินเชื่อบางกลุ่ม และความเสี่ยงจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นหลังดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานของผู้ออมและนักลงทุน เป็นต้น
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : ทาง DBSV Retail Research ประเมินว่าธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ไปถึงสิ้นปี 60 เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับค่อยเป็นค่อยไป แรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อไม่มากและเข้าสู่เป้าหมายระยะยาวช้าลงอย่างที่ธปท.ได้ระบุไว้ในแถลงการณ์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบที่ไม่ได้ปรับขึ้นเร็วนักเนื่องจากอุปทานเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศผู้ผลิตในกลุ่มโอเปก
SSI : ศาลนัดฟังคำสั่งพิจารณาแผนฟื้นฟู 15 ธ.ค.59 หลังเจ้าหนี้ยื่นค้านรวม 5 ราย
SSI แจ้งตลาดฯเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.59) ว่าบริษัทได้รับคำร้องคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้รวม 5 ราย โดยศาลให้บริษัทในฐานะผู้ทำแผน ยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นหนังสือต่อศาลภายใน 15 วัน และนัดฟังคำสั่งในวันที่ 15 ธ.ค. เวลา 9.00 น.
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เจ้าหนี้ของ SSI-TH รายหลัก คือ SCB (มูลหนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท), KTB (1 หมื่นล้านบาท) และ TISCO (800 ล้านบาท) ซึ่งหาก SSI-TH กลับมาเป็นหนี้ปกติได้ จะทำให้ NPL ของทั้ง 3 ธนาคารลดลง และหากไม่มีการกลับรายการสำรองฯเป็นรายได้ก็จะทำให้ Coverage ratio เพิ่มขึ้น แรงกดดันเรื่องการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูงมากๆ ก็ลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้สะท้อนเรื่องนี้เข้าไว้ในประมาณการกำไรปี 60 โดยจะรอให้ศาลมีการตัดสินออกมาก่อน สำหรับคำแนะนำการลงทุนด้านพื้นฐาน ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำซื้อ SCB (ราคาพื้นฐาน 167 บาท) และ TISCO (ราคาพื้นฐาน 65 บาท) แนะนำถือ KTB (ราคาพื้นฐาน 18.60 บาท)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]