- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 09 November 2016 17:38
- Hits: 3407
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อเล่นรอบ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1500'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้นต่อ ปิดตลาด SET Index +7.57 จุดที่ 1509.84 โดยมีการเข้าซื้อหุ้นธนาคาร, สื่อสาร และหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ที่มีผลประกอบการเติบโตแกร่งในปี 59-60 นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1.4 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อขายสุทธิไม่มาก
บรรยากาศการลงทุนเช้านี้ขึ้นกับผลเอ็กซิทโพลล์ ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดแกว่ง แม้หลายสำนักประเมินว่ามีโอกาสสูงที่ฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้ง ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.59 ที่มี Prob สูงกว่า 80% คาดว่าจะกระทบไม่มากเพราะนักลงทุนได้ปรับพอร์ตสะท้อนเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว (แต่ในช่วงที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นจริงอาจมีแกว่งบ้าง) ด้านราคาน้ำมันดิบ ช่วงสั้นแกว่งในกรอบแคบ แต่ดูว่าความเสี่ยงขาลงก็ค่อนข้างจำกัดเพราะทางกลุ่มโอเปกเข้ามาบริหารจัดการเรื่องการข่าวอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดก็ประเมินอุปสงค์น้ำมันในปี 60-63 เพิ่มขึ้น ส่วนกำไรไตรมาส 3 ของบจ. เห็นว่าบริษัทขนาดกลาง-เล็กเติบโตได้แข็งแกร่งเพราะฐานกำไรเล็ก ประกอบกับหลายบริษัทออกไปเติบโตภายนอก เช่น ในตลาด CLMV เป็นต้น ส่วนปัจจัยที่ควรระวัง คือ แรงขาย Sell on fact หลังรายงานผลประกอบการ
กลยุทธ์ : การซื้อเก็งกำไรเน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีละหุ้น, ถือหุ้นดีที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และทยอยสะสมหุ้นเติบโตแกร่งช่วงที่ราคาพักฐาน หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ค่าลบ/ต่ำกว่า 1500 จุดดูไม่ดีควรลดพอร์ตตาม ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1520-1530 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น TISCO, EPG, TSE, CHOW ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น RJH, GPSC, AJ, BCP, ASIMAR, LOXLEY, JTS, CBG สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ ILINK, DEMCO
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นต่อรับโอกาสความเป็นไปได้ที่ฮิลลารีชนะเลือกตั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,332.74 จุด +73.14 จุด หรือ +0.40% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,193.49 จุด +27.32 จุด หรือ +0.53% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2139.56 จุด +8.04 จุด หรือ +0.38% โดยตลาดเชื่อมั่นว่านางฮิลลารีจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อ FBI ยื่นยันว่าไม่มีความผิดทางอาญากรณีใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวฯ และผลสำรวจครั้งสุดท้ายของ Reuters/Ipsos States of the Nation ระบุว่า นางฮิลลารีมีโอกาสถึง 90% ที่จะชนะนายทรัมป์ และขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45
ราคาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 44.98 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 46.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเล็กๆ คือ กลุ่มโอเปกปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2560 ว่าจะอยู่ที่ 95.3 ล้านบาร์เรล/วัน และปรับเพิ่มเป็น 61-63 เป็น 98.3 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ราคาน้ำมันบวกขึ้นไม่มากเพราะมีรายงานว่าบริษัทท่อส่งน้ำมันของสหรัฐที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ เริ่มกลับมาดำเนินการแล้วหลังจากปิดชั่วคราวจากเหตุแผ่นดินไหว
+ ราคาทองคำ : ปิดลดลงต่อ
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 4.9 ดอลลาร์ หรือ 0.38% ปิดที่ระดับ 1,274.50 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงยืนอยู่ในระดับแข็งค่า (ดัชนีดอลลาร์ล่าสุดอยู่ที่ 97.8 สูงกว่าระดับต่ำสุดใน 3 วันทำการก่อนที่ 96.9 หลังตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นว่าฮิลลารีจะชนะเลือกตั้ง และเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ
สภาทองคำโลก หรือ WGC ปรับลดคาดการณ์ความต้องการทองคำของอินเดียครั้งที่ 2 ของปี 59 เป็น 650-750 ตัน (เมื่อส.ค.59 ได้ปรับลดลง 100 ตันไปแล้ว) ซึ่งตัวเลขปรับใหม่นับว่าอ่อนแอสุดนับตั้งแต่ปี 52 และลดลงจาก 858.1 ตันในปี 58 ปัจจัยที่ทำให้อุปสงค์ทองคำอินเดียน้อยลง คือ ผลกระทบจากฝนแล้งทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง, นโยบายของรัฐบาลที่จัดเก็บภาษีรายได้เข้มงวดมากขึ้น, รัฐเรียกเก็บภาษีจากการผลิตเครื่องประดับที่ทำมาจากทองคำ 1% สำหรับ 9M59 อินเดียซื้อทองคำลดลง 29%YoY เป็น 441.2 ตัน และนำเข้าลดลง 49%YoY เป็น 347.3 ตัน
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
/+ ขยายระยะเวลาบริการรถไฟ-รถเมล์ฟรีอีก 6 เดือนถึงสิ้นเม.ย.60
เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) ครม.ได้มีมติขยายระยะเวลาให้บริการรถไฟ-รถเมล์ฟรี ออกไปอีก 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 พ.ย.59-30 เม.ย.60 โดยกระทรวงการคลังจะชดเชยรายได้ให้กับขสมก.และรฟท.ในวงเงินงบประมาณรวม 2,268 ล้านบาท แบ่งเป็น รถเมล์ขสมก. 800 คัน ที่วิ่งให้บริการรถเมล์ฟรี ใน 73 เส้นทาง 1,783 ล้านบาท และรถไฟฟรี ชั้น 3 ที่วิ่งให้บริการ 152 ขบวน/วัน 585 ล้านบาท
+ CPN (ราคาปิด 55 บาท) : ประเมินกำไรสุทธิเติบโตแกร่ง 17% ปีนี้และ 13% ปีหน้า
บริษัทรายงานกำไร 3Q59 เพิ่มขึ้น 29%YoY โดยเป็นผลจากรายได้ที่เติบโต (+14%YoY) และมาร์จิ้นสูงขึ้นเป็น 49% จาก 47% ใน 3Q58 อัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% รายได้จากโรงแรมดีขึ้น 10% โดยหลักมาจากโรงแรมฮิลตัน พัทยามีอัตรการเข้าพักเพิ่มเป็น 96% ใน 3Q59 จาก 85% ใน 2Q59 และโรงแรมเซ็นทารามีอัตราการเข้าพักสูงขึ้นเป็น 80% ใน 3Q59 จาก 73% ใน 2Q59 ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดีขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะซบเซา
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : เราชอบ CPN ที่มีธุรกิจมั่นคง โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ค้าปลีกสูงที่ 93% และอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานแกร่งที่ 96% ขณะที่อัตราค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกในช่วง 9M59 สามารถปรับขึ้นได้ 4.5%YoY (รวมเซ็นทรัลปิ่นเกล้า) และเพิ่ม 2.2%YoY (ถ้าไม่รวมเซ็นทรัลปิ่นเกล้า) ซึ่งดีมาก ทั้งนี้เพราะโครงการอยู่ในทำเลที่ดีและแบรนด์เซ็นทรัลเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากลูกค้ามาก แนวโน้มยังไปได้ดี จากการที่มีแผนเปิดสาขาเพิ่มต่อเนื่อง (ขณะนี้มี 4 โครงการที่กำลังก่อสร้าง และจะเปิดดำเนินการในปี 60-61 ซึ่งรวมถึงโครงการที่มาเลเซียด้วย) นอกจากนั้นตั้งแต่ปี 61 เป็นต้นไปจะมีรายได้จากคอนโดเข้ามาช่วยเสริมด้วย โดยบริษัทมีแผนเปิดขายโครงการคอนโดปีละ 2-3 แห่งมูลค่ารวมประมาณ 2-3 พันล้านบาท และยังคงจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯเมื่อ CPNRF ได้แปลงเป็น REIT แล้ว ซึ่งจะบันทึกกำไรเข้ามาอีก แนะนำซื้อลงทุน โดย DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 70 บาท มี Upside จากราคาปิดเมื่อวานนี้ 27%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]