- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 08 November 2016 15:38
- Hits: 1403
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แรงกดดันตลาดหุ้นโลกลดลง หลังคะแนนนิยมของนายทรัมป์ฯ ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ลดลง และความคืบหน้าประมูลรถไฟฟ้า (เหลือง+ชมพู) ยังหนุนหุ้นรับเหมาฯ แต่ยังถูกถ่วงจากแรงขายต่างชาติ กลยุทธ์ให้สะสมหุ้นกำไรเด่น 4Q59 (ASK, WHA, SAWAD, HMPRO, BJC) Top picks คือ UNIQ(FV@B25) และ CK([email protected]) มีโอกาสชนะประมูลรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ
(+) ตลาดหุ้นโลกลดแรงกดดัน หลังความนิยมนายทรัมป์ฯ ลดลง
คาดว่าปัจจัยที่ตลาดให้น้ำหนักวันนี้ยังเป็นประเด็นของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะทราบผล Exit Poll ในช่วงสายๆของวันที่ 9 พ.ย.(ตามเวลาประเทศไทย) ทั้งนี้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่เรียกว่า “popular vote” คือ ประชาชนเลือกผู้แทนของแต่ละมลรัฐ เพื่อไปเลือกตั้งประธานาธิบดี (electoral vote) อีกทีหนึ่ง ซึ่งจะมีขึ้น 19 ธ.ค. ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องชนะเลือกตั้งครั้ง electoral vote (ผู้ชนะจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือ 270 เสียง จากที่มีอยู่ในสภาคองเกรสของสหรัฐซึ่งมีอยู่ 538 เสียง)
ผลสำรวจ Bloomberg ล่าสุด นางคลินตันฯ เริ่มมีคะแนนนำนายทรัมป์มากขึ้นอยู่ที่ 47.2 ต่อ 44.3 (เทียบกับปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ใกล้เคียงกันคือ 46.3 ต่อ 45.0) หลังจากตลาดคลายความกังวล กรณีที่ FBI เผยข้อสรุปนางฮิลลารีไม่มีความผิดกรณีใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวรับส่งข้อมูลราชการ อย่างไรก็ตามผลสำรวจก่อนการเลือกตั้งของนางฮิลลารียังไม่ชนะแบบเด็ดขาด ทำให้มีโอกาสพลิกโผได้ หากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่านโยบายการกีดกันทางการค้าของนายทรัมป์ฯ ดังที่กล่าวใน Market talk เมื่อวานนี้ 7 พ.ย.2559 น่าจะกดดันต่ออุตสาหกรรมส่งออกในภูมิภาคเอเชีย อาทิ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงการร่วมมือทางการค้า TTP FTA เป็นต้น
ขณะที่ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด ตลาดแรงงานยอดการจ้างงานนอดภาคการเกษตร(Non-farm payrolls) เดือน ต.ค. แม้ต่ำกว่าที่ตลาดคาด (อยู่ที่ระดับ 1.61 แสนราย) แต่กลับเพิ่มติดต่อกัน 2 เดือน หนุนอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 4.9% เมื่อคำนึงถึงเงินเฟ้อ ที่พุ่งขึ้นมาอยู่ 1.5% ล้วนเป็นปัจจัยหนุน Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยรอบ 13-14 ธ.ค. สะท้อน ผลสำรวจ Fed Fund future ใน Bloomberg คาดโอกาสสูงราว 80% จาก 76% ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนหน้า แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ตลาดรับรู้ไปแล้วต่อการที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
(0) แรงขายรับงบ 3Q59 ยังมี แต่เข้าสู่ 4Q59 น่าจะเป็นหุ้นโรงพยาบาล
การรายงานงบงวด 3Q59 ยังมีอยู่จนถึงปลายเดือนนี้ โดยผลประกอบการรายตัวยังไม่ดีนัก โดยเฉพาะหุ้นพลังงาน ที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับงวด 2Q59 เริ่มจาก IRPC([email protected]) แม้กำไรงวด 3Q59 ลดลง 1.31 พันล้านบาทตามคาด แต่เป็นเพราะการบันทึกกำไรจากสต็อกน้ำมันรวมลดลง และก Market GIM ลดลง แต่เมื่อรวมแล้วกำไรสุทธิ 9M59 เท่ากับประมาณการณ์ทั้งปี 2559 จึงปรับประมาณขึ้น 21.2% (งวด 4Q59 แนวโน้มกำไรจะดีขึ้นทั้งจาก Market GIM และสต็อกน้ำมัน) แต่ปี 2560 กำไรสุทธิจะทรงตัวจากปี 2559 จากฐานกำไรปี 2559 สูง (ปี 2560 มี Shut down โรงงานงวด 1Q60) แต่ยังแนะนำซื้อลงทุน เพราะ Expected P/E ต่ำ 10 เท่าและ Div Yield ปัจจุบันสูงกว่า 4.5% ตามด้วย GPSC(FV@B40) กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.5% qoq หลักๆเกิดจากบันทึกเงินปันผลรับจากโรงไฟฟ้าราชบุรีพาวเวอร์ แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานและส่วนแบ่งจากเงินลงทุนพบว่าปรับตัวลดลง 25.4% และ 32.6% qoq ขณะแนวโน้ม 4Q59 คาดว่ายังอ่อนตัวลงจากงวด 3Q59 เพราะไม่มีเงินปันผลรับดังกล่าว และเป็นของฤดูกาล โดยรวมปี 2559 จะเติบโต 21.6% และเพิ่มอีก 24.2% ในปี 2560 ราคาหุ้นมี Expected P/E เท่ากับ 19 เท่า ในปี 2559 มี upside 12.67%
ตามด้วยหุ้นเดินเรือยังขาดทุน คือ PSL([email protected]) ขาดทุน 860 ล้านบาทงวด 3Q59 หลักๆ เกิดจากการตั้งด้อยค่าและขาดทุนการขายเรือเก่าอีก 6 ลำ แต่หากพิจารณาขาดทุนปกติอยู่ที่ 245 ล้านบาท ลดลง 27.5% qoq เพราะรายได้จากการเดินเรือเฉลี่ยต่อลำต่อวันเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่าย การเดินเรือต่อวันลดลง แต่ขาดทุนสุทธิ 9M59 สูงกว่าประมาณการณ์ จึงปรับประมาณการณ์ขาดทุนเพิ่มขึ้น 76.7% ราคาปัจจุบันมีมี Upside จำกัด จึงให้ Switch ไปยัง BA
หุ้นโรงพยาบาล แม้เป็นช่วงที่คนไข้ต่างชาติลดลง แต่กำไรของหุ้นโรงพยาบาลในกลุ่มนี้กลับไม่ได้ลดลง คือ BH (FV@B213) กำไรสุทธิเติบโต 14.5% yoy จากรายได้กลุ่มโรครุนแรงเพิ่มขึ้น ชดเชยจำนวนวันที่ให้บริการที่ลดลง และการปรับค่ายาขึ้น 5% yoy และงวด 4Q59 คาดว่าจะเติบโตเกิน 10% ประเมินว่าชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะ UAE กระทบจำกัด ยังแนะนำซื้อ ลงทุน
และหุ้นค้าปลีก แม้ยอดขายสาขาเดิมชะลอตัว แต่ผลประกอบการรายหุ้นยังเติบโตได้ด้วยนโยบายเฉพาะบริษัท เช่น TNP([email protected]) งวด 3Q59 กำไร ทรงตัวจากงวดก่อนหน้า แม้ยอดขายสาขาเดิมลดลง แต่ได้ยอดขายสาขาใหม่ชดเชยได้ และงวด 4Q59 น่าจะทำกำไรที่ดีขึ้นจากผลของฤดูกาลท่องเที่ยวเชียงราย ซึ่งฤดูหนาวปีนี้เร็วกว่าปกติคือเริ่มตั้งแต่ 30 ต.ค. ช่วยให้กำไรสุทธิทั้งปีนี้เติบโต 46% ขณะที่มูลค่าพื้นฐาน Upside 20.3% จึงแนะนำซื้อ
(0) ประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง มีกลุ่ม BEM(CK), BTS (STEC, RATCH)
วานนี้ มีการยื่นซองประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กม. วงเงิน 53,490 ล้านบาทและสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 29.1 กม. วงเงินลงทุน 51,810 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางเป็นรถไฟฟ้าโมโนเรล โดยให้เอกชนร่วมลงทุนรูป PPP แบบ Net Cost ปรากฏว่ามีผู้รับเหมาเพียง 2 รายที่ยื่นซองฯ คือ BEM และ กิจการร่วมค้า BSR (BSR Joint Venture) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BTS STEC และ RATCH
ขั้นตอนต่อไป คือ รฟม. เตรียมเปิดซองที่ 1 ในวันที่ 17 พ.ย. 2559 และทยอยเปิด ซองที่ 2 และ 3 ภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ และคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ประมาณเดือน เม.ย. 2560
โดยสรุป การยื่นซองฯ นี้ถือว่าเป็นไปตามที่ฝ่ายวิจัยคาดว่า ผู้รับเหมารายใหญ่จะจับมือร่วมกับพันธมิตรที่มีความชำนาญ คือ BTS ร่วมกับ STEC (และ RATCH) ส่วน BEM มี CK เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อีกทั้งเป็นแบบ PPP Net Cost ที่ต้องมีความพร้อมในเรื่องฐานเงินทุน ฝ่ายวิจัยยังแนะนำ CK ([email protected]) เนื่องจากมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งสุด
ส่วน UNIQ(FV@25) ได้ยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสีส้ม และ โครงการรถไฟรางคู่ที่กำลังจะเปิดประมูล ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสได้รับงานประมูล และน่าจะหนุน Backlog และกำไรสูงขึ้นในปีหน้า จึงเลือกเป็น Top pick อีกบริษัทในกลุ่มก่อสร้าง
(+) ปรับประมาณการกำไรตลาดขึ้น แต่ทำให้ปี 2560 EPS Growth ชะลอตัวลง
การรายงานงบฯ 3Q59 ของกลุ่ม Real Sector ทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นมีแนวโน้มที่ฝ่ายวิจัยจะมีการมีการปรับเพิ่ม/ลดประมาณการกำไรปี 2559 และ 2560 ขึ้น จากกลุ่มต่างๆ ดังนี้
+ กลุ่มที่มีการปรับเพิ่มประมาณการ
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 2 พันล้านบาท 2560 ปรับลดลงราว 4.9 พันล้านบาท
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 2.3 พันล้านบาท 2560 ปรับเพิ่มราว 2.4 พันล้านบาท
กลุ่มค้าปลีก ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 1.2 พันล้านบาท 2560 ปรับเพิ่มราว 1.6 พันล้านบาท
กลุ่มพลังงาน ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 5 พันล้านบาท 2560 ปรับเพิ่มราว 108 ล้านบาท
กลุ่มเกษตร-อาหาร ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 2.3 พันล้านบาท 2560 ปรับลงราว 1.2 พันล้านบาท
กลุ่มเหล็ก ปี 2559 ปรับเพิ่มราว 952 ล้านบาท 2560 ปรับเพิ่มราว 300 ล้านบาท
-กลุ่มที่มีการปรับลดประมาณการ
กลุ่มอสังหาฯ ปี 2559 ปรับลดราว 2.3 พันล้านบาท 2560 ปรับลดราว 827 ล้านบาท
กลุ่ม ICT ปรับลดกำไรปี 2559 ลงราว 550 ล้านบาท ปี 2560 ปรับลงราว 480 ล้านบาท
กลุ่มโรงแรม ปรับลดกำไรปี 2559 ลง 1.2 พันล้านบาท ปี 2560 ปรับลง 1.2 พันล้านบาท
ในเบื้องต้น คาดว่ากำไรสุทธิตลาดปี 2559 จะเพิ่มขึ้นราว 1 หมื่นล้านบาท จาก 8.6 แสนล้านบาท ขึ้นเป็น 8.7 แสนล้านบาท และ EPS มีแนวโน้มขยับขึ้นจาก 90.14 บาท/หุ้น ขึ้นเป็น 91.19 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยจะทบทวนอีกครั้งหลังจากรายงานงบ 3Q59 เสร็จสิ้น แต่โดยรวมจะทำให้ EPS Growth ปี 2559 สูงเกิน 31% และปี 2560 ลดลงจากเดิมที่ 9% แต่โดยรวมไม่ได้ทำให้ ดัชนีเป้าหมายปี 2560 แตกต่างจากเดิมมากนัก
(-) แม้ตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ต่างชาติยังคงขายสุทธิทุกประเทศ
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคทุกประเทศ ด้วยมูลค่ากว่า 437 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 9) และหากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า มีการขายตลาดหุ้นเกาหลีใต้สูงสุด ราว 172 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ตามมาด้วยไต้หวัน 147 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 9), อินโดนีเซีย 82 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 15 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9) และไทย 21 ล้านเหรียญ หรือ 723 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 11 โดยมียอดขายสุทธิรวมกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่สลับมาซื้อสุทธิราว 693 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
แม้วันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Dow Jones Index) โดยในคืนที่ผ่านมาพุ่งทยานขึ้นกว่า 371 จุด หรือ 2.08% แต่เนื่องจากคาดว่า แรงขายจากต่างชาติยังมีอยู่ (ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. เป็นต้นมา มีการซื้อสุทธิเพียง 4 วันเท่านั้น) รวมถึงแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศที่เริ่มชะลอตัวลง หลังจากซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. ถึงปัจจุบันสูงถึง 2.32 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยไตรมาส 4 ย้อนหลัง 10 ปีที่ 1.85 หมื่นล้านบาทมากแล้ว อีกทั้ง Fed ยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยนโยบายฯ 1 ครั้งในปีนี้ โดยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมี Upside จำกัด และมีโอกาสปรับฐานลงในช่วงที่เหลือของปี
ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯสลับมาขายสุทธิราว 3.3 พันล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิ 1.9 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิมา 2 วัน)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์