WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
  ความผันผวนยังมีอยู่ จากแรงกดดันภายนอก ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง และแรงขายรับงบงวด 3Q59 กลยุทธ์ให้สะสมหุ้นกำไรเด่นงวด 4Q59 (ASK, WHA, SAWAD, HMPRO, BJC) ยังเลือก Top picks BJC (FV@B64) และ CK([email protected]) ที่กระแสการเปิดประมูลลงทุนภาครัฐมีความชัดเจนอย่างต่อเนื่อง

(-) ตลาดยังแกว่งกังวลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
 หลังการประชุม Fed เสร็จสิ้นไปกลางสัปดาห์นี้ เชื่อว่าตลาดหุ้นโลกได้รับรู้ถึงแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ไปแล้ว (ผลสำรวจ Fed Fund Futures เดือน ธ.ค. ที่สูงถึง 78%) จากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่งตัวขึ้นมาที่ 1.6% เดือน ก.ย.ใกล้เคียงเป้าหมาย 2% และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้น และตลาดยังให้น้ำหนักการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ต.ค. ที่จะประกาศสุดสัปดาห์นี้ คาดว่าจะปรับขึ้นต่อเนื่องที่ 1.75 แสนราย จากเดือนก่อนหน้าที่ 1.56 แสนราย แต่อย่างไรตามเชื่อว่า ปัญหา Brexit น่าจะทำให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป
  ขณะที่สัปดาห์หน้า จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งยิ่งใกล้เลือกตั้งมากเท่าใด ความผันผวนของตลาดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผลสำรวจล่าสุดของ Bloomberg พบว่าฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำโดนัลด์ ทรัมป์ เพียงเล็กน้อยคือ 47 : 45 % ทำให้ความเสี่ยงที่ทรัมป์จะพลิกกลับมาได้รับเลือกชัยชนะมีความเป็นไปได้ ซึ่งน่าสร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าฯ กับประเทศแถบเอเชีย ที่สหรัฐ มีความเสียเปรียบหรือขาดดุลการค้า และ การกีดกันผู้อพยพต่างชาติ โดยเฉพาะเชื้อชาติมุสลิม อาจะสร้างความขัดแย้งในวงกว้าง

(0) แรงขายรับงบยังมีอยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลก
 การรายงานงบ 3Q59 ของบริษัทจดทะเบียนใน S&P500 ยังมีอยู่ ล่าสุดมีรายงานแล้วกว่า 400 บริษัท โดยรวมกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.6%yoy หลัก ๆมาจากธุรกิจการเงิน สวนทางกับธุรกิจพลังงานที่กำไรปรับลดลง อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นกลับมีแรงขายรับงบ ในทุกกลุ่มฯ โดยมีความกังวลการเลือกตั้งประธานาธิบดีดังกล่าวข้างต้น กดดันให้ตลาดหุ้น S&P500 ลดลงติดต่อกัน 8 วันทำการ โดยลดลงไปถึง 2.9% (นับตั้งแต่ 25 ต.ค. เป็นต้นมา) ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2551 (ดัชนีวัดความผันผวน VIX Index วานนี้พุ่งสูงขึ้นไปถึง 22.08 จุด และมีโอกาสขึ้นสู่ 26.72 จุด ซึ่งเป็นช่วงที่เกิด Brexit
  ทางฝั่งของตลาดหุ้นไทย ก็อยู่ในระหว่างการรายงานผลประกอบการ 3Q59 ของ Real Sector มีทั้งดีกว่าคาด เช่น SCC PTTEP DELTA DCC ใกล้เคียงคาด เช่น IRPC และแย่กว่าคาด เช่น SCCC DTAC ส่วนในวันนี้ นักวิเคราะห์กลุ่มโรงพยาบาลได้รายงานผลประกอบการของ BH (FV@B213) ซึ่งกำไรกลับมาเติบโตได้เกินกว่าคาดถึง 14.5%yoy แม้ UAE ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยหลัก (65%) ได้ตัดลดงบประมาณรายจ่ายผู้รับสิทธิ์รักษาฟรีในต่างประเทศลง แต่ได้ชดเชยรายได้กลุ่มโรครุนแรงขึ้น และการปรับค่ายาขึ้น ขณะที่ต้นทุนและ SG&A เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า ขณะที่ 4Q59 คาดว่าจะยังเติบโตได้เกิน 10%yoy และคาดว่าทั้งปี 2559 จะเติบโต 7% และ 10% ในปีหน้า จึงยังคงประมาณการและคำแนะนำ ซื้อ
  ส่วนสัปดาห์หน้า 7 พ.ย. รฟม. กำหนดให้ยื่นเอกสารประมูล โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง)โดยเป็นการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนรูปแบบ PPP (รัฐ-เอกชนร่วมลงทุน) ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ทุกรายทั้ง ITD CK STEC และ UNIQ พร้อมเปิดตัวพันธมิตรที่มีความชำนาญในการเดินรถไฟฟ้าเพื่อเข้าร่วมประมูล ฝ่ายวิจัยเลือก CK([email protected]) เป็น Top Pick เพราะโอกาสได้งานดังกล่าวเพิ่มเติม ทั้งความพร้อมด้านการเงิน กระแสเงินสด และ พันธมิตร

(-) ตลาดกังวล BOE ใช้นโยบายการเงินเข้มงวด และปัญหา Brexit
  การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) วานนี้ยังคงดอกเบี้ยฯที่ 0.25% (ต่ำสุดในประวัติศาสตร์) และคงวงเงิน QE ที่ 4.35 แสนล้านปอนด์ (หรือ 5.7 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดราว 14.5% ของ QE ในสหรัฐช่วงวิกฤตซับไพรม์) อย่างไรก็ตาม ผลการประชุมในรอบนี้สร้างความสับสนให้กับตลาด ซึ่งตีความว่า BOE มีโอกาสนโยบายการเงินแบบเข้มงวด คือ ขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อ เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1% จาก 0.6% ในเดือน ส.ค.59 และ BOE ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปีนี้ 0.2% เป็น 2.2% และปีหน้าอีก 0.6% เป็น 1.4% ทั้งนี้แม้ประธาน BOE (นายมาร์ก คาร์นีย์) ส่งสัญญาณว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบ 15 ธ.ค. ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นความกังวลจากปัญหา Brexit ซึ่ง จะต้องผ่านขั้นตอนสนับสนุนของรัฐสภา (ภายใต้มาตรา 50 แห่ง กรุงลิสบอน) ในการแต่งตั้งนายกฯ อังกฤษ เป็นตัวแทนในการยื่นออกจากสหภาพยุโรป อย่างเป็นทางการ
  อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงความเสี่ยงในการออกจากสหรัฐยุโรปของอังกฤษนั้นมีอีกหลายขั้นตอน นอกจาก รัฐบาลจะต้องนำเรื่องเข้าสู่รัฐภาให้มีการออกเสียงลงมติก่อน (มีกระแสเห็นว่าไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงทำให้รัฐบาลอังกฤษเตรียมการยื่นอุทธรณ์ตัดสิน โดยน่าจะมีคำตัดสินในอีก 1 เดือนข้างหน้า หรือ 5-8 ธ.ค.) แล้ว
  ความเสี่ยงประการถัดมา คือ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศซึ่งอาจจะล่าช้า เพราะหมายถึง คววามได้เปรียบ-เสียเปรียบด้านการค้า ที่จะนำไปสู่พันธสัญญาการค้าระหว่างอังกฤษกับประเทศสมาชิกสหภาพ ภายหลังจากที่ ประเทศสมาชิกฯ จะต้องห็นชอบผลการเจรจาผ่านการลงประชามติ (ต้องผ่าน 65% หรือ 20 ประเทศจากทั้งหมด 27 ประเทศ) ซึ่งทำให้การดำเนินการออกจากอังกฤษอาจจะกินเวลานานกว่า 2 ปีที่กำหนดไว้ ยิ่งนานยิ่งกระทบความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก

(-) ต่างชาติขายหุ้นไทยติดต่อกัน 9 วัน มูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
 วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ด้วยมูลค่าราว 358 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียวที่ยังคงซื้อสุทธิราว 13 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่งต่างชาติยังคงขายสุทธิ คือ ไต้หวันขายสุทธิราว 138 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7) ตามมาด้วยเกาหลีใต้ 135 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), ฟิลิปปินส์ 39 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 7) และไทย 59 ล้านเหรียญ หรือ 2.1 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 9 โดยมียอดขายสุทธิรวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท) ต่างกับนักลงทุนสถาบันฯที่ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 229 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ เพียงวันเดียว)
  ส่วนทางด้านตราสารหนี้ไทย นักลงทุนสถาบันฯยังคงซื้อสุทธิราว 2.1 หมื่นล้านบาท ต่างกับนักลงทุนต่างชาติที่สลับมาขายสุทธิ 2.3 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วัน)

ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
พาสุ ชัยหลีเจริญ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้ช่วยนักเศรษฐศาสตร์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!