- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 November 2016 15:23
- Hits: 1664
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้กลับมายืนเหนือ 1,500 จุดอีกครั้ง ผลักดันโดยกลุ่มพลังงาน เมื่อราคาน้ำมันดิบ NYMEX ฟื้นตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม เกิดแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายชั่วโมงเข้ามามากขึ้น กดให้ SET INDEX หลุด 1,500 จุด ปิดที่ 1,493.08 จุด ลบ 5.57 จุด มูลค่าการซื้อขาย 54,419 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 9 เร่งขึ้นเป็น 2,064 ล้านบาท กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง 276 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 2,287 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้
BoE คงนโยบายการเงินตามคาด แต่ยกเลิกแผนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปีหน้า
สินทรัพย์เสี่ยงปรับฐานลงต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 8 พ.ย.
ติดตามรายงานงบการเงิน 3Q59 คาดว่าจะทยอยประกาศมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
ติดตามตัวเลขการส่งออก – นำเข้าของจีน
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 29)
เราคงความเห็นต่อ SET INDEX วันนี้เป็นลักษณะ Sideways แกว่งระหว่าง 1,490-1,500 จุด และอาจปิดต่ำกว่า 1,490 จุดได้ในช่วงท้ายชั่วโมงของการซื้อขาย เพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงสุดสัปดาห์ อีกทั้งความเสี่ยงสำคัญในสัปดาห์หน้ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. คาดว่าเราจะเริ่มรู้ผล Exit Poll ในช่วงสายๆ ของวันที่ 9 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย
หากนาง Clinton ได้ชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกฟื้นตัวเด่น
แต่หากนาย Trump ได้รับชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงจะปรับฐานลง จากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน และต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีนาง Clinton หรือ นาย Trump ชนะ เราแนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพียงแต่หากเป็นนาง Clinton ได้ชัยชนะ หุ้น Big Cap และกลุ่มพลังงานเป็นหุ้นเป้าหมาย แต่หากนาย Trump ได้ชัยชนะ เราแนะนำให้เข้าสะสมหุ้น Domestic Play เพื่อปิดความเสี่ยงจากนโยบายต่างประเทศของ Trump ในช่วงสั้น
กลยุทธ์วันนี้ แนะนำ “เก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว” แบบจำกัดวงเงิน
Strategy of the Day
1. เก็งกำไร WAVE : ราคาปิด 4.46 บาท ราคาเหมาะสม 6.20 บาท
a) MBKET คาดว่าราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวก หลังประกาศขายหุ้น TSE ในสัดส่วน 10% จำนวน 181.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4.85 บาท มูลค่า 880.2 ล้านบาท คิดเป็นเงินสดต่อหุ้น WAVE สูงถึงหุ้นละ 2.09 บาท โดย WAVE จะยังถือหุ้นใน TSE คงเหลือ 10.01%
b) WAVE จะนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น TSE ไปชำระหนี้สินระยะยาว ส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และดอกเบี้ยจ่ายลดลง รวมทั้งโอกาสในขยายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น
c) ประเมินเบื้องต้น คาดว่าจะมีกำไรพิเศษหลังภาษีจากการขายหุ้นครั้งนี้ ราว 550 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าทางบัญชีเพิ่มขึ้นจาก 2.56 บาทต่อหุ้น เป็น 3.86 บาทต่อหุ้น
2. สะสม BEM : ราคาปิด 7.65 บาท เป้าหมายทางเทคนิค 8.10 บาท
a) MBKET คาดกำไรสุทธิ 3Q59 ที่ 691 ล้านบาท +24% yoy และ +36% qoq โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจทางด่วน และรถไฟฟ้าจะทำระดับสูงสุดใหม่ จากแรงหนุนของการเปิดให้บริการทางด่วนศรีรัช และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในเดือน ส.ค.
b) มี Catalyst รออยู่ โดยคาดว่ารฟม.อาจมีการพิจารณายืดระยะเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่วิ่งอยู่ในปัจจุบันออกไป เพื่อให้หมดสัญญาสัมปทานพร้อมกับสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย โดยการขยายอายุสัมปทานดังกล่าวเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา และมีมูลค่าส่วนเพิ่มราว 1.00 บาทต่อหุ้น
c) Valuation มีส่วนลดจาก BTS ค่อนข้างมาก โดย BEM ซื้อขายที่ PER2560 ระดับ 34.7 เท่า เทียบกับ BTS ที่ 50.3 เท่า และคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อธุรกิจเดินรถไฟฟ้าเนื่องจากมีโอกาสได้งานเดินรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่มเติมอีกในอนาคต
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์
ตลาดหุ้นไทยวานนี้
SET INDEX วานนี้กลับมายืนเหนือ 1,500 จุดอีกครั้ง ผลักดันโดยกลุ่มพลังงาน เมื่อราคาน้ำมันดิบ NYMEX ฟื้นตัวระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย อย่างไรก็ตาม เกิดแรงขายทำกำไรในช่วงท้ายชั่วโมงเข้ามามากขึ้น กดให้ SET INDEX หลุด 1,500 จุด ปิดที่ 1,493.08 จุด ลบ 5.57 จุด มูลค่าการซื้อขาย 54,419 ล้านบาท
ทั้งนี้ต่างชาติคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 9 เร่งขึ้นเป็น 2,064 ล้านบาท กลับมา Long สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง 276 สัญญา และขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 2,287 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญวันนี้
ติดตามตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้
BoE คงนโยบายการเงินตามคาด แต่ยกเลิกแผนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปีหน้า
สินทรัพย์เสี่ยงปรับฐานลงต่อเนื่อง
ปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า
ติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 8 พ.ย.
ติดตามรายงานงบการเงิน 3Q59 คาดว่าจะทยอยประกาศมากขึ้นในสัปดาห์หน้า
ติดตามตัวเลขการส่งออก - นำเข้าของจีน
มุมมองต่อตลาดวันนี้: กลาง (วันที่ 29)
เราคงความเห็นต่อ SET INDEX วันนี้เป็นลักษณะ Sideways แกว่งระหว่าง 1,490-1,500 จุด และอาจปิดต่ำกว่า 1,490 จุดได้ในช่วงท้ายชั่วโมงของการซื้อขาย เพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงสุดสัปดาห์ อีกทั้งความเสี่ยงสำคัญในสัปดาห์หน้ากับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. คาดว่าเราจะเริ่มรู้ผล Exit Poll ในช่วงสายๆ ของวันที่ 9 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย
- หากนาง Clinton ได้ชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกฟื้นตัวเด่น
- แต่หากนาย Trump ได้รับชัยชนะ คาดว่าสินทรัพย์เสี่ยงจะปรับฐานลง จากความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจ การเงิน และต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากรณีนาง Clinton หรือ นาย Trump ชนะ เราแนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพียงแต่หากเป็นนาง Clinton ได้ชัยชนะ หุ้น Big Cap และกลุ่มพลังงานเป็นหุ้นเป้าหมาย แต่หากนาย Trump ได้ชัยชนะ เราแนะนำให้เข้าสะสมหุ้น Domestic Play เพื่อปิดความเสี่ยงจากนโยบายต่างประเทศของ Trump ในช่วงสั้น
กลยุทธ์วันนี้ แนะนำ "เก็งกำไรหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัว" แบบจำกัดวงเงิน
Strategy of the Day
1. เก็งกำไร WAVE : ราคาปิด 4.46 บาท ราคาเหมาะสม 6.20 บาท
a) MBKET คาดว่าราคาหุ้นจะตอบรับเชิงบวก หลังประกาศขายหุ้น TSE ในสัดส่วน 10% จำนวน 181.5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4.85 บาท มูลค่า 880.2 ล้านบาท คิดเป็นเงินสดต่อหุ้น WAVE สูงถึงหุ้นละ 2.09 บาท โดย WAVE จะยังถือหุ้นใน TSE คงเหลือ 10.01%
b) WAVE จะนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น TSE ไปชำระหนี้สินระยะยาว ส่งผลให้ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้น และดอกเบี้ยจ่ายลดลง รวมทั้งโอกาสในขยายธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น
c) ประเมินเบื้องต้น คาดว่าจะมีกำไรพิเศษหลังภาษีจากการขายหุ้นครั้งนี้ ราว 550 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าทางบัญชีเพิ่มขึ้นจาก 2.56 บาทต่อหุ้น เป็น 3.86 บาทต่อหุ้น
2. สะสม BEM : ราคาปิด 7.65 บาท เป้าหมายทางเทคนิค 8.10 บาท
a) MBKET คาดกำไรสุทธิ 3Q59 ที่ 691 ล้านบาท +24% yoy และ +36% qoq โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจทางด่วน และรถไฟฟ้าจะทำระดับสูงสุดใหม่ จากแรงหนุนของการเปิดให้บริการทางด่วนศรีรัช และรถไฟฟ้าสายสีม่วง ในเดือน ส.ค.
b) มี Catalyst รออยู่ โดยคาดว่ารฟม.อาจมีการพิจารณายืดระยะเวลาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่วิ่งอยู่ในปัจจุบันออกไป เพื่อให้หมดสัญญาสัมปทานพร้อมกับสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย โดยการขยายอายุสัมปทานดังกล่าวเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการของเรา และมีมูลค่าส่วนเพิ่มราว 1.00 บาทต่อหุ้น
c) Valuation มีส่วนลดจาก BTS ค่อนข้างมาก โดย BEM ซื้อขายที่ PER2560 ระดับ 34.7 เท่า เทียบกับ BTS ที่ 50.3 เท่า และคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อธุรกิจเดินรถไฟฟ้าเนื่องจากมีโอกาสได้งานเดินรถไฟฟ้าสายใหม่เพิ่มเติมอีกในอนาคต
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
ขายสุทธิเป็นวันที่ 8 อีก US$354 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$264 ล้าน
Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติยังคงลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 9
นักลงทุนต่างชาติ ยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 9 เร่งขึ้นเป็น 2,064 ล้านบาท รวม 9 วันทำการขายสุทธิ 11,388 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิลดลงอีกเป็น 110,020 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index futures นั้นนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมา Long สุทธิอีกครั้งเพียง 276 สัญญา คาดว่าจะเป็นการกลับมาปิดสถานะ Short อีกครั้ง กดให้ S50Z16 ปิดต่ำกว่า SET50 Index เป็นวันที่ 2 กว้างถึง 5.66 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 1.35 จุด ส่งผลให้ QTD ใน 4Q59 นักลงทุนกลุ่มนี้มีสถานะ Short สุทธิลดลงเล็กน้อย เป็น 4,443 สัญญา
และนักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิตลาดตราสารหนี้ไทยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 2,287 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 20,525 ล้านบาท ขณะที่ราคาพันธบัตรไทยเริ่มทรงตัว ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเพียง 0.01bps จากวันก่อนหน้าลดลง 0.12bps ปิดที่ 2.144%
Short-Selling วานนี้
เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 เท่ากับ 1,180 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 921 ล้านบาท ด้วยจำนวนหุ้น 65 หลักทรัพย์ จากวันก่อนหน้า 56 หลักทรัพย์
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ เน้นกลุ่ม Domestic Play
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาขายสุทธิ 550 ล้านบาท จาก 3 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,528 ล้านบาท โดยเลือกที่จะลดน้ำหนักกลุ่ม ICT สูงสุด 313 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคาร 282 ล้านบาท และกลุ่มค้าปลีก 124 ล้านบาท แต่กลับมาสะสมกลุ่มพลังงานเด่นสุด 159 ล้านบาท และกลุ่มปิโตรเคมี 149 ล้านบาท
ประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ - การเงินรายภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาเป็นกลางถึงบวก
- ยอดขอสวัสดิการว่างงาน เท่ากับ 2.65 แสนตำแหน่ง สูงกว่า Bloomberg consensus คาด 2.55 แสนตำแหน่ง และสัปดาห์ก่อนหน้า 2.58 แสนตำแหน่ง
- ดัชนี PMI ภาคบริการ เบื้องต้น เดือนต.ค. เท่ากับ 54.8 จุด ดีกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 52.3 จุด จากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ส่งผลบวกต่อต้นทุนและราคา นอกจากนี้คำสั่งซื้อใหม่ยังทำระดับแข็งแกร่งสุดในรอบ 11 เดือนเช่นกัน
- คำสั่งซื้อโรงงานเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 0.3% mom ดีกว่า Bloomberg consensus คาด +0.2% mom แต่ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% mom คำสั่งวื้อใหม่เพิ่มขึ้น 0.3% mom
- ดัชนี ISM ภาคบริการเดือนต.ค. เท่ากับ 54.8 จุด ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 56.1 จุด และเดือนก่อนหน้าที่ 57.1 จุด ผลักดันให้การจ้างงานแข็งแกร่ง และคำสั่งซื้อใหม่แข็งแกร่งที่ 57.7 จุด แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 60.6 จุด
ยุโรป
ศาลอังกฤษให้รัฐบาลต้องเสนอ Brexit ผ่านสภาเพื่อพิจารณาก่อน: ศาลสูงของอังกฤษจะพิจารณาตัดสินให้ ครม.ต้องเสนอขั้นตอนการออกจากการเป็นสมาชิกในกลุ่มอียู ด้วยมาตรา 50 แห่งกรุงลิสบอน ผ่านความเห็นชอบของสภา อย่างไรก็ตามรัฐบาลอังกฤษจะมีการเสนอเรื่องนี้ต่อศาลฎีกา เพื่อพิจารณาประเด็น คาดว่าจะเป็นในช่วงวันที่ 5-8 ธ.ค.
BoE คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และไม่ส่งสัญญาณที่จะลดอัตราดอกเบี้ยอีก: BoE คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ด้วยเสียง 9-0 เสียง สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ BoE ยังยกเลิกแผนที่จะลดอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ หลังค่าเงินปอนด์อ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 31 ปี เทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดอัตราเงินเฟ้อปีหน้าขยับเป็น 2.7% สูงเกือบ 3 เท่าจากระดับปัจจุบัน
เยอรมันให้ สวิสและอังกฤษทำการเจรจากรณี Brexit แยกออกจากอียู: นายกฯ เยอรมัน ให้ความเห็นว่า อียูได้หารือกับสวิส และให้ความเป็นอิสระกับสวิสประเด็นการเคลื่อนย้ายแรงงานกับทางอังกฤษในกรณี Brexit เพราะทางอียูจะเจรจากับอังกฤษในกรณีนี้ต่างหาก
การปรับครม.ของสเปน: หลังนายกฯ Mariano Rajoy ชนะการลงคะแนนรับรองสถานะ (Confidence Vote) เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ด้วยการปรับรมว. 6 ตำแหน่ง อย่างไรก็ตามสถานะโดยรวมของรัฐบาลผสมอาจยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะผลักดันกฎหมาย และงบประมาณ ซึ่งสเปนยังต้องเดินหน้าในการรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
จีน
ไม่มี
เอเชียแปซิฟิก
ไม่มี
ไทย
คมนาคม เผยความคืบหน้าโครงสร้างพื้นฐาน: รองปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่ง ตามแผนปี 2559 จำนวน 20 โครงการวงเงิน1.4 แสนล้านบาทว่า โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กม. วงเงินลงทุน 17,249 ล้านบาท คาดว่าวันที่ 25 พ.ย.จะเสนอทีโออาร์ให้บอร์ด รฟท. พิจารณาเห็นชอบ และเปิดขายซองประกวดราคาในวันที่ 26 พ.ย. และเคาะราคาในวันที่ 3 ก.พ. 2560 คาดว่าจะลงนามในสัญญาได้ในวันที่ 27 ก.พ.2560 ส่วนอีก 4 เส้นทาง คือ หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 90กม. วงเงินลงทุน 10,301 ล้านบาท, มาบกะเบา-ชุมทางจิระ ระยะทาง 132 กม. วงเงินลงทุน 29,449 ล้านบาท, นครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 165 กม. วงเงินลงทุน 20,036 ล้านบาท และลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 148 กม. วงเงินลงทุน 24,840 ล้านบาทนั้น จะขายซองประกวดราคาระหว่างวันที่ 3-9 ธ.ค.59 และเคาะราคาวันที่10 ก.พ. 60 ตั้งเป้าที่จะลงนามในสัญญาพร้อมกันทั้ง 4 เส้นกลางเดือนมี.ค.2560
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA Strategist / Analyst 662-6586300 x 1440
Padon Vannarat Equity Analyst 662-6586300 x 1450
Krittapol Itthithumsakul Assistant Analyst
Strategist Team
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Krittapol Itthithumsakul
Assistant Analyst
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong