- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 03 November 2016 16:31
- Hits: 9456
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : JASIF (จากซื้อเป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้อ่อนตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ปัจจัยกดดัน คือ ความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากข่าวว่า FBI อาจรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารีช่วงที่เป็นรมว.ต่างประเทศ ประกอบกับกังวลที่นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อ 880 กว่าล้านบาทสถาบันในประเทศพลิกเป็นขายสุทธิ 815 ล้านบาท ขณะที่พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
ผลประชุม FED 1-2 พ.ย.ออกมาตามคาด คือ คงดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0.25-0.50% และส่งสัญญาณปรับขึ้นในการประชุมเดือน ธ.ค.59 ส่วนผลเลือกตั้งปธน.สหรัฐแทบทุกสำนักวิเคราะห์ว่าฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนปัจจัยที่กดดัน คือ ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงแรงเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นถึง 14.4 ล้านบาร์เรล (จากที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่ม 1 ล้านบาร์เรล) ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงสั้น กลยุทธ์ : ยังเน้นลงทุนตามรอบเป็นรายบริษัท เรายังไม่แนะนำให้ถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดยภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก ส่วนการลงทุนระยะยาว แนะนำให้ถอยซื้อสะสมเป็น Step ในจังหวะที่ราคาหุ้นอ่อนตัว หุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น TMT
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นลบเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ค่าลบดูไม่ดีเพราะมีโอกาสลงไปที่ 1480, 1450 จุดได้ ส่วนแนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1505-1510, 1520 จุด
การ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น AJ, PYLON, TMT, BCP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น RCI, THCOM, BJC, BCH, RJH, GPSC, GLOBAL, TNH สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ JASIF, MALEE, BCPG, TOP หุ้นที่หลุด List คือ BGT, WICE
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : เฟดคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบพ.ย.แต่ส่งสัญญาณปรับขึ้นในเดือนธ.ค.59
คณะกรรมการกำหนดนโยบายเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในช่วง 0.25-0.50% ในการประชุม 1-2 พ.ย.59 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.59 โดยแถลงการณ์ระบุว่าเศรษฐกิจมีการปรับตัวดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกำลังดีดตัวขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ส่วนการจ้างงานยังคงมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้คณะกรรมการเฟดระบุว่าจะยังคงจับตาสิ่งบ่งชี้เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลก รวมทั้งพัฒนาการทางการเงินต่อไป
•/+ สหรัฐ : แบบจำลองหลายสำนักระบุว่าฮิลลารี่จะคว้าชัยชนะ
แบบจำลองการคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยพรินส์ตันให้นางฮิลลารีมีโอกาสชนะมากถึง 97% ส่วนของนิวยอร์กไทม์สให้ความเป็นไปได้ถึง 88% และ FiveThirtyEight.com ให้นางฮิลลารีมีโอกาสชนะ 71% ส่วนแบบจำลองคาดการณ์ของมูดี้ส์ อนาลิติกส์ ระบุว่า นางฮิลลารีจะกวาดคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งได้ถึง 332 เสียง ขณะที่นายทรัมป์ จะได้เพียง 206 เสียง (ผู้ที่จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง จะต้องได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 270 เสียง) โดยแบบจำลองของมูดี้ส์ดังกล่าวสามารถคาดการณ์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้อย่างถูกต้องในการเลือกตั้ง 9 ครั้งที่ผ่านมา ส่วนผลสำรวจของรอยเตอร์-อิปซอสให้นางฮิลลารีมีโอกาสถึง 95% ที่จะได้คะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งอย่างน้อย 278 เสียง
ด้านนักวิเคราะห์จากธนาคารบาร์เคลย์สคาดการณ์ว่า หากผลสำรวจคะแนนนิยมของนายทรัมป์พุ่งแตะระดับ 50% ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลง 4-5% และหากนายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ทรุดตัวลงถึง 10-11%
• สหรัฐ : การจ้างงานภาคเอกชนต.ค.เพิ่มน้อยกว่าคาด...จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรศุกร์นี้
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นเพียง 147,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. และเป็นระดับย่ำแย่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้ รวมทั้งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 166,000 ตำแหน่งนักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ (4 พ.ย.) โดยตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในรอบ 10 ปี ผลการสำรวจนักวิเคราะห์ระบุว่ากระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9% จากเดิมที่ระดับ 5.0%
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนตัวลงหลังกังวลความไม่แน่นอนการเมือง
เฟดคงดอกเบี้ยรอบนี้แต่ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.59 ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้แต่ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ หลัง FBI เตรียมปัดฝุ่นรื้อฟื้นคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการคว้าชัยชนะของนางฮิลลารีในการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 17,959.64 จุด ลดลง 77.46 จุด หรือ -0.43% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,105.57 จุด ลดลง 48.01 จุด หรือ -0.93% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,097.94 จุด ลดลง 13.78 จุด หรือ -0.65%
- ราคาน้ำมันดิบ : ร่วงลงต่อ...สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งมากถึง 14.4 ล้านบาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.33 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 45.34 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.60 ดิ่งลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 46.86 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นถึง 14.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 482.6 ล้านบาร์เรล ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 ต.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากการที่โรงกลั่นลดการผลิตน้ำมัน และสหรัฐมีการนำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 1.99 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว และตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขของ API ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 9.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
+ ราคาทองคำ : ปิดพุ่งขึ้นแรง หนุนโดยการอ่อนค่าของเงิน US$ & การเมืองสหรัฐไม่แน่นอน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 20.2 ดอลลาร์ หรือ 1.57% ปิดที่ระดับ 1,308.20 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากสถานการณ์การเมืองสหรัฐไม่แน่นอน และเฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบพ.ย.นี้ ทำให้ค่าเงิน US$ อ่อนลงจากระดับสูงสุด 99.19 (เมื่อ 25 ต.ค.) เป็น 97.407 ในปัจจุบัน (ต่ำสุด 97.178 เมื่อ 2 พ.ย.)
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ TMT (ราคาปิด 13.30 บาท) : คาดกำไรสุทธิ 3Q59 โตก้าวกระโดด 64%YoY & จะได้รับปันผลสูง
# คาดกำไรสุทธิ 3Q59 เติบโตแกร่ง 64%YoY เป็น 135 ล้านบาท ปัจจัยหนุน คือ ปริมาณขายเหล็กที่เพิ่มขึ้นสูงทั้ง YoY และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเกือบ 200bps ซึ่งไปชดเชยกับราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงได้ ปริมาณขาย 3Q59 เพิ่ม 24%YoY เป็น 1.77 แสนตัน โดยหลักมาจากการเติบโตของยอดขายลูกค้าดีลเลอร์, ลูกค้ากลุ่มก่อสร้างทั่วไป, ลูกค้ากลุ่มโครงสร้างเหล็กส่งออก บ่งชี้ถึงความสำเร็จในการให้บริการครบวงจรในรูปแบบ Solotion ที่บริษัทได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดสูงขึ้นต่อเนื่องอัตรากำไรขั้นต้น 3Q59 อยู่ในระดับสูงของภาวะปกติที่ 9% ซึ่งเพิ่มจาก 7.1% ใน 3Q58 (แต่ลดลงจากช่วง 1H59 ที่มาร์จิ้นสูงผิดปกติที่ 16.7% เพราะเป็นช่วงราคาเหล็กปรับขึ้นเร็วขณะที่บริษัทมีวัตถุดิบต้นทุนต่ำ)
# แนวโน้ม 4Q59 คาดว่ายังมีโมเมนตัมที่ดี แต่อาจแผ่วลงบ้างในช่วงปลายปีซึ่งมีวันหยุดยาว ส่วนทั้งปี 59 เราประมาณการกำไรสุทธิไว้ที่ 814 ล้านบาท (+154%YoY) สำหรับปี 60 ประเมินว่ามาร์จิ้นจะกลับสู่ภาวะปกติแต่ยอดขายยังเติบโตได้ 10-15% คาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ที่ 392 ล้านบาท ซึ่งเติบโตจากฐานปกติปี 58 ได้ 22%
# แนะนำซื้อเพื่อรับปันผล โดยให้ราคาพื้นฐาน 13.80 บาท อิงกับ P/E ปี 59-60 ที่ 10 เท่า เราคาดการณ์เงินปันผลสำหรับปี 59 ไว้ที่ 1.10 บาท/หุ้น (โดยให้ Payout ratio อย่างอนุรักษ์นิยมที่ 60% ต่ำกว่าปีปกติที่จ่าย 80% ของกำไรสุทธิ) ณ ราคาปิด 13.30 บาท คิดเป็น Dividend Yield ปี 59 เท่ากับ 8.3% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง ขึ้นเครื่องหมาย XD ประมาณต้นเดือนมี.ค.)
• SCC & SCCC : ขายหุ้นบริษัทร่วมทุนทำโรงบดปูนที่บังคลาเทศ
# SCC แจ้งตลาดฯว่าว่าคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดคิดเป็นประมาณ 10.4% ในบริษัท Holcim Cement (Bangladesh) Ltd.(HCBL) ให้กับ Holderfin B.V. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย LafargeHolcim เนื่องจากการปรับโครงสร้างการลงทุนของ HCBL ซึ่ง SCC จะได้เงินจากการขายหุ้นราว 590 ล้านบาท และรับรู้กำไรสุทธิหลังหักภาษีประมาณ 315 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จประมาณเดือน พ.ย.59 …ซึ่งกำไรคิดเป็น 0.26 บาท/หุ้น SCC หรือ 0.6% ของคาดการณ์กำไรสุทธิบริษัทในปี 59
# ส่วน SCCC ก็แจ้งตลาดฯว่าคณะกรรมการอนุมัติการขายหุ้น 10.4% ใน HCBL เป็นจำนวนเงินประมาณ 590 ล้านบาท ให้กับ Holderfin B.V. ประเทศเนเธอแลนด์เช่นกัน โดยการขายหุ้นครั้งนี้คาดจะเสร็จสิ้นภายในเดือนพ.ย.นี้ แต่ไม่ได้ระบุว่าจะได้กำไรหลังหักภาษีเท่าใด...โดยถ้า SCCC บันทึกกำไรหลังภาษีที่ 315 ล้านบาท เหมือนกับ SCC ก็จะคิดเป็น 1.37 บาท/หุ้น SCCC หรือราว 7% ของคาดการณ์กำไรสุทธิปี 59
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]