- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 03 November 2016 15:48
- Hits: 2156
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET ยังทรงตัวได้ดีแม้มีอ่อนตัวบ้าง ทำให้ยังน่าเน้นถือต่อเนื่องไว้ก่อน
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังปรับตัวลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากความวิตกเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย. หลังคะแนนนิยมของผู้สมัครทั้ง 2 พรรคมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็ยังปรับลงอยู่ จากความไม่มั่นใจว่าที่ประชุมโอเปกในปลายเดือนนี้(30 พ.ย.) จะสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการลดการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันได้หรือไม่ด้วย
แนวโน้มตลาดวันนี้ : SET ยังมีแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ อยู่ ในขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐก็ยังปกคลุมตลาด แม้ว่าเมื่อคืนนี้ผลประชุมเฟดล่าสุดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน แต่ก็ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า(13-14 ธ.ค.) ขณะที่นักลงทุนบางส่วนยังรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในท้ายสัปดาห์นี้อีกครั้ง เพื่อใช้ประกอบคาดการณ์ว่าเฟดจะขยับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปหรือไม่ด้วย ทำให้ SET ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวผันผวนอยู่ อย่างไรก็ตาม FSS ยังคาดว่า SET น่าจะมีกรอบพักตัวที่จำกัด และลุ้นโอกาสพลิกกลับขึ้นไปขยับบวกต่อเนื่องได้ในเร็วๆ นี้ตามคาดเดิมอยู่
กลยุทธ์ : เนื่องจาก SET ยังมีแรงซื้อหนุนตลาดได้ค่อนข้างดี ทำให้คาดว่ากรอบลบจะค่อนข้างจำกัด เราจึงยังแนะนำเลือกหุ้นทยอยซื้อช่วง
SET ลบ แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบบวกต่อไปเช่นเดิม
แนวรับ 1496-1494 , 1490-1485 จุด
แนวต้าน 1502-1505 , 1508-1514 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TWPC , EPG , GL(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$264ล้าน นำโดยไต้หวัน US$179ล้าน เกาหลีใต้ US$47ล้าน ส่วนไทยมีเม็ดเงินไหลออก US$24ล้าน แต่ไหลเข้าอินโดนีเซียประเทศเดียว US$19ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกกลับสู่สินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในสัปดาห์หน้า ส่วนการประชุม FOMC ที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยแต่ส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 แต่ปริมาณเบาบางลงเหลือ 883 ล้านบาท และกลับมา short Index Futures อีก 1.5 พันสัญญา และยังคงซื้อพันธบัตรแต่ปริมาณลดเหลือเพียง 2.46 พันล้านนบาท รวมทั้ง 3 ตลาดจึงยังเป็นการซื้อสุทธิต่อเป็นวันที่ 2 ด้วยปริมาณลดลงจากวันก่อนมากเหลือ 1.29 พันล้านบาท
(0) แถลงการณ์ของ Fed ไม่ต่างจากแถลงการณ์ 2 ครั้งก่อน ที่พูดถึงการขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้และ 2 ครั้งในปีหน้า ตลาดจึงเชื่อมั่นว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 14-15 ธ.ค. นี้ (ความเป็นไปได้เพิ่มเป็น 78%) ตัวเลขสำคัญที่ต้องจับตาคือการจ้างงานที่จะประกาศวันศุกร์ที่ตลาดคาดการจ้างงานเพิ่ม 1.75 แสนตำแหน่ง
(-) Poll ล่าสุดคะแนนนิยมของ Trump ขยับขึ้นมาเท่า Clinton ที่ 46% หลัง FBI เตรียมรื้อฟื้นคดีการใช้ server อีเมล์ส่วนตัวของ Clinton ส่งผลให้ตลาดหุ้นในระยะสั้นตลาดมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น กดดันค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็งค่า) ทั้งนี้ ธนาคารบาร์เคลย์คาดว่าถ้า Trump ชนะเลือกตั้ง S&P500 จะทรุดลง 10-11%
(+) TVO เราคาดกำไรสุทธิ 3Q16 จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1 พันล้านบาท +26% Q-Q, +53% Y-Y จากการเติบโตของทั้งธุรกิจน้ำมันถั่วเหลือง (ราคาปาล์มซึ่งเป็นสินค้าทดแทน แพงขึ้น) และกากถั่วเหลือง (ราคากากถั่วเหลืองนำเข้าแพงขึ้น ผู้ประกอบการจึงหันมาซื้อกากถั่วเหลืองในประเทศมากขึ้น) แนวโน้มกำไร 4Q16 จะชะลอตามฤดูกาล เราปรับกำไรสุทธิปี 2016 ขึ้น 27% เป็น +44% Y-Y จากเดิมคาด +13% Y-Y และปรับกำไรปีหน้าขึ้น 16% แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับฐานสูงในปีนี้ ราคาพื้นฐานปีหน้าปรับขึ้นเป็น 40 บาท และคาด Dividend yield 8% ต่อปี แนะนำซื้อ
(+) KKP การที่ผู้บริหารปฏิเสธข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการ ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจใน KKP น้อยลง ด้วยกลยุทธ์การเติบโตของ KKP ที่เน้นสินเชื่อรายย่อยที่ไม่ใช่สินเชื่อเช่าซื้อ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อ Car for Cash และสินเชื่อ SME3เท่า ซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถ ประกอบกับการ reprice เงินฝากดอกเบี้ยสูง อาจทำให้กำไรปี 2017 ดีกว่าที่เราคาด และ Valuations ยังไม่แพง มี 2017PBV 1.15 เท่า และคาด Dividend yield 7% ต่อปี (คาด 2H16 จ่าย 2 บาท/หุ้น) แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 71 บาท
(+) IRPC รายงานกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านบาทตามคาด -64.7% Q-Q เพราะกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวนมากในไตรมาสก่อนหายไป ค่าเสื่อมของโครงการ UHV ที่เริ่มดำเนินการ ก.ค. เข้ามาเต็มที่ และ margin ของโรงกลั่นและปิโตรเคมีลดลงตามตลาด แต่กำไร +47.3% Y-Y และมีแนวโน้มฟื้นต่อเนื่องหลัง UHV ใช้กำลังการผลิต 90% แล้ว ยังแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 5.80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3-พ.ย. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ต.ค.)
- จีน: Caixin China PMI Composite (ต.ค.)
- อังกฤษ: BOEประชุม
-ญี่ปุ่น:ตลาดหุ้นปิดทำการเนื่องในวันวัฒนธรรมแห่งชาติ
4 พ.ย. - ไทย:รฟม.ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
- สหรัฐ:การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ต.ค.)
5 พ.ย. - อินโดนีเซีย: 3Q16 GDP
8 พ.ย. - สหรัฐ: การเลือกตั้งประธานาธิบดี
- จีน:ดุลการค้า (ต.ค.)
9 พ.ย. - ไทย: กนง.ประชุม (ตลาดคาดคงดอกเบี้ยที่ 1.5%)
10-พ.ย. - ฟิลิปปินส์: ธนาคารกลาง(BSP) ประชุม
11 พ.ย. - ไทย: COMAN เข้าเทรด (ราคา IPO 7.80 บาท)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมายังปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 หลัง FED ยังคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ความกังวลยังเป็นเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า
(-) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดลบแรงต่อเนื่องเช่นกันโดยถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงและความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังเปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบต่อเนื่อง
(0) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 34.85-35.00 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ร่วงแรง 1.33 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 45.34 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเกินคาดอย่างน่าตกใจ
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. พุ่งขึ้น 20.20 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,308.2 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยกระแสเงินยังคงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในสัปดาห์หน้า
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch