- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 02 November 2016 16:41
- Hits: 3932
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SC (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปรับขึ้น 8.8 จุดปิดที่ 1504.52 โดยมีการเข้าซื้อหุ้นรายบริษัทกระจายในกลุ่มต่างๆ เช่น SCC, BANPU, IVL, BCPG, BCP, TOP, CK, UNIQ, ITD, STEC เป็นต้น นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มที่ซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อ 1.5 พันล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิเป็นหลักร้อยล้านบาท
ความไม่แน่นอนเรื่องการเลือกตั้งสหรัฐมีมากขึ้น หลังมีข่าวว่า FBI อาจรื้อคดีการใช้เซิอร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี่ในช่วงที่เป็นรมว.ต่างประเทศขึ้นมา ซึ่งประเด็นนี้ทำให้คะแนนเสียงฮิลลารี่ลดลงและสูสีกับทรัมป์มากขึ้น และผลสำรวจล่าสุดของเอบีซี นิวส์/วอชิงตัน โพสต์ล่าสุดระบุว่าคะแนนทรัมป์ขึ้นมานำฮิลลารี่ 1 จุดด้วย ส่วนการประชุมเฟด 1-2 พ.ย.นี้ นักวิเคราะห์ 100% คาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่มีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายคือ 13-14 พ.ย.59 สำหรับในประเทศเป็นช่วงรายงานกำไร 3Q59 ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงตลาด กลยุทธ์ : เน้นการซื้อขายตามรอบเป็นหลัก (เรายังไม่แนะนำให้ลงทุนหรือถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดยภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก การลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) หุ้น Top Picks ของเดือนพ.ย.59 เป็น BA, BCP, LPH, PTTGC, TCAP ส่วน Dark Horse คือ ROBINS ส่วนหุ้นเชิงกลยุทธ์แนะนำวันนี้เป็น GL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวก ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด คือ 1490 จุด ถ้าต่ำกว่าแนวนี้ก็ควรลดพอร์ต/Stop Loss เพราะมีโอกาสลงต่อจนต่ำกว่า 1450 จุดได้ การเด้งมีแนวต้าน 1510-1520 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น BCPG, GPSC, TOP, GLOBAL, TNH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น JASIF, BGT, WICE, RCI, THCOM, MALEE, BJC, BCH, RJH สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ CSC, DEMCO, AAV หุ้นที่หลุด List –ไม่มี-
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : นักวิเคราะห์คาดเฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย.นี้
ผลสำรวจ CNBC Fed Survey พบว่า นักวิเคราะห์ที่ถูกสำรวจทั้ง 100% เชื่อว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย. แต่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 13-14 ธ.ค. นอกจากนั้นนักวิเคราะห์จำนวน 55% ระบุว่าปัจจัยที่ทำให้เฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนนี้ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย. และผลสำรวจยังบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.09% ภายในช่วงสิ้นปี 60 และเป็นระดับ 1.81% ในช่วงสิ้นปี 61 โดยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวลดลงจากเดือนก.ย.59
•/- สหรัฐ : ผลสำรวจคะแนนฮิลลารี่ลดลงและบางโพลล์ทรัมป์กลับมานำเล็กน้อย
ผลสำรวจล่าสุดของเอบีซี นิวส์/วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่าหลังมีข่าวการรื้อคดีของ FBI ส่งผลให้คะแนนนิยมของนายทรัมป์ขยับขึ้นมาอยู่เหนือนางฮิลลารีอยู่ 1 จุด ขณะที่ผลสำรวจจากเรียลเคลียร์โพลิติกส์ระบุว่านางฮิลลารีมีคะแนนนิยมนำหน้านายทรัมป์อยู่เพียง 2.2 จุด จากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่มีคะแนนนำอยู่กว่า 7 จุด
- สหรัฐ : การใช้จ่ายด้านก่อสร้างเดือนก.ย.แย่กว่าคาด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างของสหรัฐ -0.4%MoM ในเดือนก.ย. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างจะ +0.5%MoM
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงแรง...วิตกการเมืองสหรัฐ & การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากมีข่าวว่าสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ซึ่งข่าวนี้ทำให้คะแนนนิยมของนางฮิลลารีลดลงและสูสีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์มากขึ้น นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกระคาดการณ์เรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดด้วย ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,037.10 จุด ร่วงลง 105.32 จุด หรือ -0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,153.58 จุด ลดลง 35.55 จุด หรือ -0.69% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,111.72 จุด ลดลง 14.43 จุด หรือ -0.68%
- ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อย…คาดสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มหลังลดมา 7 สัปดาห์ต่อเนื่อง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 46.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 47 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 48.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะเพิ่มจากสัปดาห์ก่อนหลังลดลงมา 7 สัปดาห์ต่อเนื่อง ซึ่ง EIA จะเปิดเผยตัวเลขคืนนี้ (เวลาไทย) แต่ราคาอ่อนลงไม่มากเพราะมีข่าวเกิดเหตุท่อส่งน้ำมันเบนซินในรัฐอลาบามาระเบิด ส่งผลให้มีการปิดท่อส่งน้ำมันดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 เดือน ทำให้คาดว่าจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน
+ ราคาทองคำ : พุ่งขึ้นแรง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 14.9 ดอลลาร์ หรือ 1.17% ปิดที่ระดับ 1,288.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังการเมืองสหรัฐมีความไม่แน่นอนมากขึ้น และค่าเงิน US$ อ่อนลงเมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักเพราะตลาดเชื่อว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบต้นเดือนพ.ย.นี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• เศรษฐกิจไทย : เงินเฟ้อทั่วไปต.ค.59 อยู่ที่ 0.34% เงินเฟ้อพื้นฐาน 0.74 %
กระทรวงพาณิชย์แถลงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือนต.ค.59 เพิ่มที่ +0.34%YoY และ +0.16%MoM ส่งผลให้ CPI ช่วง 10M59 (ม.ค.-ต.ค.59) +0.06%YoY ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) +0.74%YoY และ +0.04%MoM และช่วง 10M59 (ม.ค.-ต.ค.59) +0.74%YoY โดยราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับขึ้นมากกว่ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม แต่มีบางรายการที่ราคาปรับลง เช่น ข้าวเจ้า, เนื้อหมู, ไก่สด, ไข่ไก่, น้ำมันพืช, นมสด เป็นต้น สำหรับทั้งปี 59 กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดเงินเฟ้อทั่วไปไว้ที่ 0-1% โดยมีสมมติฐานการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ยังคงเดิมที่ 3.3% แต่สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้นเป็น 40 ดอลลาร์/บาร์เรล (จากเดิม 35 ดอลลาร์/บาร์เรล) และปรับสมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแข็งค่าขึ้นเป็น 36 บาท/ดอลลาร์ (จากเดิมที่ 37 บาท/ดอลลาร์) สำหรับปัจจัยที่อาจมีผลต่อเงินเฟ้อและจะนำมาคำนวณเพิ่มในเดือนต่อไป คือ ราคาข้าวเปลือกที่ลดลง และอุปสงค์ผ้าดำ เสื้อผ้าดี และเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ประเมินในเบื้องต้นว่าจะไม่กระทบเป้าหมายเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้
- เศรษฐกิจไทย : ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (BSI) เดือนต.ค.หดตัว
ธปท.เผยความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (BSI) ของเดือนต.ค.59 หดตัวทั้งความเชื่อมั่นในปัจจุบันและในอนาคต โดยดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบันลดลงเป็น 49.2 (จาก 50.3) และ 53.4 (จาก 54.7) ตามลำดับ จำนวนตอบว่าภาวะธุรกิจดีขึ้นน้อยลงโดยเฉพาะผู้ประกอบการผลิตยานยนต์ที่ห่วงภาวะตลาดจะชะลอตัวในระยะต่อไป นอกจากนั้นการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อทิศทางท่องเที่ยวไทยในไตรมาส 4/59 และต่อเนื่องถึงปี 60 ด้วย
• เศรษฐกิจไทย : นายกฯใช้มาตรา 44 ออกพระราชกฤษฎีกาคง VAT 7% ต่ออีก 1 ปี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจัดเก็บในอัตรา 6.3% ซึ่งเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นแล้วจะเป็นอัตรา 7% ตามเดิม สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 59 ถึงวันที่ 30 ก.ย.60 และหลังจากนั้นจะเป็นอัตรา 10% ถ้าไม่มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก
• GL (ราคาปิด 44.25 บาท) : เพิ่มทุน 34.65 ล้านหุ้นรองรับการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ – Dilution เพียง 2%
บอร์ด GL อนุมัติเพิ่มทุน 34.65 ล้านหุ้น รองรับการแปลงสภาพหุ้นกู้แปลงสภาพที่จะเสนอขาย PP 2 ราย พร้อมอนุมัติเข้าซื้อหุ้นบางส่วนใน JTrust Bank หวังเป็นพันธมิตรพัฒนาธุรกิจในอินโดนีเซีย มูลค่าลงทุน 11.7 ล้านเหรียญสหรัฐ รวมทั้งก่อตั้งบริษัทร่วมค้า สำหรับหุ้นกู้แปลงสภาพมีมูลค่าไม่เกิน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 2.5 พันล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี ราคาแปลงสภาพหุ้นกู้ประมาณหุ้นละ 70 บาท (เมื่อคำนวณจากมูลค่าหุ้นกู้แปลงสภาพและจำนวนหุ้นเพิ่มทุน) โดยจะจัดสรรให้ 1) JTA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JTrust วงเงินไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 2) Creation SL ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งเป็นพิเศษ และบริหารงานภายใต้ Creation Investments Capital Management, LLC (Creation) ที่เน้นการลงทุนในส่วนทุนของสถาบันที่ให้บริการสินเชื่อรายย่อย (Microfinance) ในวงเงินไม่เกิน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ
วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ ก็เพื่อใช้ทดแทนเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้แปลงสภาพเดิม รวมถึงใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในกัมพูชาและเมียนมา รวมถึงสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ตลอดจนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการปล่อยสินเชื่อในรูปแบบ Digital Finance Platform ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนั้นบอร์ด GL ยังได้อนุมัติการเข้าซื้อหุ้นโดยบริษัท GLH ใน PT Bank JTrust Indonesia Tbk (JTrust Bank) มูลค่าทั้งสิ้น 11.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ J Trust Co., Ltd. (JTrust) ต่อเนื่องจากการลงทุนของ JTrust ในบริษัท นอกจากนี้อนุมัติให้ GLH เข้าร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัทร่วมค้าชื่อ GL Century Service Company Limited ในเมียนมา (บริษัทให้บริการ) ร่วมกับ Mr. Aung Moe Kyaw, Macondray Holding Pte. Ltd. และ UMJ Ikeya Investment II Ltd (AMK คอนซอร์เตียม) โดย GLH จะถือหุ้น 57% ในบริษัทให้บริการ และส่วนที่เหลือ 43% ถือโดย AMK คอนซอร์เตียม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]