- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 01 November 2016 16:30
- Hits: 8555
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : TISCO (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวกรอบแคบ ปิดตลาดดัชนี +1.28 จุดที่ 1495.72 อย่างไรก็ดี นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากขึ้นเป็น 2.5 พันล้านบาท ขณะที่ 3 กลุ่มที่เหลือซื้อสุทธิ (นำโดยรายย่อย & สถาบันในประเทศ) หุ้นที่โดดเด่นเป็นกลุ่มโรงพยาบาลซึ่งไตรมาส 3 เป็น High season ของธุรกิจเพราะเป็นฤดูฝน ประกอบกับมีข่าวการเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนขยายธุรกิจเข้ามาต่อเนื่อง
ตลาดยังติดตามผลประชุม FOMC วันที่ 1-2 พ.ย.59 ถึงแม้ว่าโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้จะไม่มาก แต่ก็รอฟังถ้อยแถลงเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป นอกจากนั้นยังรอผลการเลือกตั้งปธน.สหรัฐด้วย โดยปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มคือ การที่ FBI อาจรื้อคดีการใช้เซิอร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี่ในช่วงที่เป็นรมว.ต่างประเทศขึ้นมาอีก ด้านในประเทศเป็นช่วงรายงานกำไร 3Q59 ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงตลาด กลยุทธ์ : เน้นการซื้อขายตามรอบเป็นหลัก โดยควรระวังการแกว่งหลังประชุมเฟด (เรายังไม่แนะนำให้ลงทุนหรือถือครองหุ้นในสัดส่วนที่มากเพราะตลาดโดยภาพรวมตลาดยังมีความไม่แน่นอนหลายประการโดยเฉพาะภายนอก ที่มีประเด็นเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด, การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐหลังได้ปธน.คนใหม่, ผลกระทบจาก BREXIT, กรณีค่าปรับของดอยซ์แบงค์, การฟื้นตัวที่ช้าของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น ฯลฯ) ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาว แนะนำให้ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) หุ้น Top Picks ของเดือนพ.ย.59 เป็น BA, BCP, LPH, PTTGC, TCAP ส่วน Dark Horse คือ ROBINS
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณป็นบวกเล็กๆ ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด คือ 1490 จุด ถ้าต่ำกว่าแนวนี้ก็ควรลดพอร์ต/Stop Loss เพราะมีโอกาสลงต่อจนต่ำกว่า 1450 จุดได้ การเด้งมีแนวต้าน 1500, 1510-1520 จุด
สำหรับการ SCAN หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี มีโอกาสทำ New High พบว่าที่เข้ามาใหม่เป็น RCI, THCOM, DEMCO, MALEE, BJC, AAV, BCH, RJH ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น CSC, JASIF, BGT, WICE สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้ว & ให้หาจังหวะ Take Profit ได้แก่ –ไม่มี- หุ้นที่หลุด List คือ CWT
ปัจจัยต่างประเทศ
• สหรัฐ : ติดตามผลประชุม FOMC วันที่ 1-2 พ.ย.59
CME Group FedWatch ระบุว่านักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 73% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.59 และมีโอกาสเพียง 6% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 1-2 พ.ย.
+ สหรัฐ : การใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนก.ย.เติบโตดีกว่าคาด
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ +0.5%MoM ในเดือนก.ย. หลัง -0.1%MoM ในเดือนส.ค. และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะ +0.4%MoM
•/- สหรัฐ : ผลการเลือกตั้งสหรัฐมีความแน่นอนมากขึ้น
ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมีมากขึ้น หลังจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตแม้ว่า FBI ประกาศปิดคดีดังกล่าวไปในเดือนก.ค.ก็ตามผลสำรวจซึ่งจัดทำโดยสำนักข่าวเอบีซี/วอชิงตันโพสต์ระบุว่าข่าวการรื้อคดีของ FBI ส่งผลให้คะแนนนิยมนำของนางฮิลลาต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เหลือเพียงเล็กน้อยเป็น 46% : 45% ด้านนักวิเคราะห์จากซิตี้ กรุ๊ปออกรายงานระบุว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตลาดปรับลดการคาดการณ์ชัยชนะของนางฮิลลารีเหลือเพียง 75% จาก 81% ก่อนหน้า
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนลงเล็กน้อยก่อนประชุมเฟด 1-2 พ.ย.
ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) ถ่วงด้วยการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบ ความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นมากเกินคาดของสหรัฐ รวมทั้งข่าวการควบธุรกิจน้ำมันและก๊าซของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) และบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ช่วยพยุงไม่ให้ตลาดร่วงลงแรง ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 18,142.42 จุด -18.77 จุด ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,189.13 จุด -0.97 จุด ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,126.15 จุด -0.26 จุด
- ราคาน้ำมันดิบ : ลดลงราว 3-4% หลังยังไม่มีข้อสรุปเรื่องการจำกัดปริมาณการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.84 ดอลลาร์ หรือ 3.8% ปิดที่ 46.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1.41 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 48.30 ดอลลาร์/บาร์เรล การประชุมนอกรอบของกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกยังไม่มีข้อสรุปเรื่องการจำกัดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ และจะมีการประชุมนอกรอบกันอีกครั้งก่อนที่จะมีการประชุมกลุ่มโอเปกอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ย.59
- ราคาทองคำ : ลดลงเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.7 ดอลลาร์ หรือ 0.29% ปิดที่ระดับ 1,273.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงิน US$ แข็งขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีต่อเนื่อง
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
-/+ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ทยอยลดคาดการณ์กำไรปี 60 แบงค์ใหญ่...ชอบแบงค์เล็กมากกว่า
# หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/59 ทาง DBSV ได้ทยอยปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ลง สะท้อนสมมติฐานการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่จะสูงกว่าระดับปกติต่อในปีหน้า ทั้งนี้เพื่อรองรับความไม่แน่นอนเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในหมวดการลงทุนภาคเอกชนและส่งออกที่ยังอ่อนแอ ส่วนการลงทุนภาครัฐก็มีความล่าช้าในหลายโครงการ และธนาคารอย่าง KTB ก็สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดสินเชื่อโครงการรัฐให้กับธนาคารอื่นด้วย (สัดส่วนสินเชื่อโครงการรัฐลดลงเหลือเพียง 4% ของสินเชื่อรวมเท่านั้น จากระดับเลขสองหลักใน 4 ปีที่แล้ว)
# ในเบื้องต้นทาง DBSV ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ของ KTB ลง 27% และ KBANK ลง 20% เพื่อสะท้อนสมมติฐานการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิม (ซึ่งเป็นไปตาม Guidance ที่ธนาคารให้มาล่าสุด) เราแนะนำถือ KTB (ราคาพื้นฐาน 18.60 บาท) และคงคำแนะนำซื้อ KBANK (ปรับลดราคาพื้นฐานลงเป็น 195 บาท)
# เราชอบธนาคารเล็กอย่าง TCAP และ TISCO มากกว่า เพราะ NPL ได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องหลายไตรมาสแล้ว และสินเชื่อเช่าซื้อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็หดตัวทำให้ความเสี่ยงเรื่อง NPL จะน้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่ แนวโน้มสินเชื่อปี 60 จะดีขึ้นและการตั้งสำรองฯจะไม่สูงขึ้นจากปีนี้และมีแนวโน้มลดลงด้วย ส่วนการเติบโตของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในปี 60 จะชะลอตัวลงแต่ก็ดีกว่าธนาคารใหญ่เพราะฐานรายได้ไม่สูง เราปรับเพิ่มคำแนะนำ TISCO จากถือ เป็นซื้อ โดยให้ราคาพื้นฐาน 65 บาท เทียบเท่ากับ P/BV ปี 60 เท่ากับ 1.5 เท่า ส่วน TCAP คงคำแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานอยู่ระหว่างปรับขึ้นไปอิงกับ P/BV ปี 60
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]