- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 01 November 2016 15:42
- Hits: 3117
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET อ่อนตัวลงยังเป็นโอกาสเลือกหุ้นซื้อ แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบบวก!
ตลาดหุ้นวานนี้ : แม้ SET ยังแกว่งตัวผันผวนและเป็นลบให้เห็นอยู่ แต่ก็มีลักษณะทรงตัวได้ดีขึ้น พร้อมทั้งมีจังหวะขยับบวกสลับ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ยังปรับตัวลงอีก จากความวิตกเกี่ยวกับโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการร่วงลงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกด้วย
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เนื่องจากภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศยังไม่สดใสนัก โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงค่อนข้างแรงของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่วานนี้ปรับตัวลดลงเกือบ 4% หลังจากการประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างเจ้าหน้าที่ของประเทศในกลุ่มโอเปก และประเทศนอกกลุ่มฯ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม ถึงแม้ว่าจะระบุว่ามีความคืบหน้าในเชิงบวกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนวางใจนัก ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ยังคงเคลื่อนไหวด้านลบ ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศก็มียอดขายสุทธิต่อเนื่องในตลาดหุ้นไทยอยู่ ดังนั้น FSS จึงยังคาดว่า SET น่าจะอยู่ในช่วงแกว่งพักตัวลงต่อเนื่องได้ อย่างไรก็ตามกรอบลบของตลาดน่าจะยังค่อนข้างจำกัด และยังลุ้นแรงซื้อหนุนกลับให้ขยับบวกใหม่ได้ในเร็วๆ นี้ตามคาดได้
กลยุทธ์ : เราจึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นทยอยซื้อช่วง SET ลบ แล้วเน้นถือ เพื่อรอรอบบวกต่อไป
แนวรับ 1494-1490 , 1485-1480 จุด
แนวต้าน 1499-1501 , 1505-1508 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : AAV , SAMART , CPN(buy back)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$167ล้าน นำโดยไต้หวัน US$106ล้าน และไทย US$70ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ประเทศเดียว US$18ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย ตลาดรอการประชุม FOMC เพื่อดูสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีผลโพลมีคะแนนกลับมาใกล้เคียงกัน รวมถึงราคาน้ำมันที่ดิ่งลงน่าจะกดดันกลุ่มพลังงานต่อ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 เป็นปริมาณสูงที่สุดในรอบ 7 วัน และขายพันธบัตรติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.96 พันล้านบาท แต่กลับมา net long Index Futures (ระยะหลังเป็นซื้อสลับขาย) รวมทั้ง 3 ตลาดเป็นการขายสุทธิ 5 พันล้านบาท ใกล้เคียงศุกร์ที่ผ่านมาที่ขายสุทธิ 5.5 พันล้านบาท
(0) ราคาน้ำมันปรับลง 9% ในช่วง 2 สัปดาห์เพราะประชุมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไร้ข้อตกลงใดๆ และกังวล supply เพิ่ม เป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน แต่บวกต่อ AAV, BA
(0) แนวโน้มตลาดหุ้นเดือน พ.ย. เงินทุนจากต่างชาติน่าจะไหลออกต่อเนื่องจากเดือนก่อนจากความกังวลต่อผลประชุม Fed 1-2 พ.ย. และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 8 พ.ย. แม้ Clinton จะชนะการเลือกตั้งซึ่งเป็นบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่การบวกจะถูกจำกัดด้วยความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเดือนหน้า หุ้นขนาดใหญ่จะ underperform หุ้นขนาดกลาง-เล็กโดยเฉพาะที่ประกาศผลกำไรดีและมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ โรงพยาบาล ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเพราะคืบหน้ามากขึ้นในช่วงปลายปี หุ้นเด่นเดือนนี้เราเลือก BEM, EKH, KTC, PDG, ROBINS
(+) รถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนตะวันออกเตรียมประมูล 6 ม.ค. 2017 แต่ในวันที่ 4 พ.ย. รฟม.จะประกาศผู้ผ่านด้านคุณสมบัติก่อน และผู้ผ่านด้านเทคนิควันที่ 1 ธ.ค. ก่อนจะเปิดซองเสนอราคา 6 ม.ค. ปีหน้า ทั้งนี้มีผู้ซื้อซองประกวดราคา 20 รายจากทั้งหมด 6 สัญญา มูลค่า 7.97 หมื่นล้านบาท ได้แก่ CKST (JV ของ CK และ STEC), ITD, UNIQ (จับมือกับบจ.ซันยองเอ็นจิเนียริ่ง), CNT (จับมือกับบจ.ไชน่าเรลเวย์คอนสตรัคชั่น) ส่วนวันนี้ครม.จะพิจารณาโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง
(+) ROBINS เราคาดกำไรสุทธิ 3Q16 -16% Q-Q เพราะหน้าฝน แต่ +28% Y-Y จากการเปิดสาขาและเพิ่มสัดส่วนสินค้า House Brand ชดเชยเหตุระเบิดภาคใต้ได้ กำไรจะกลับมาสดใสตั้งแต่ 4Q16 ราคาหุ้น +35% YTD laggard ที่สุดกลุ่ม Modern trade ทำให้มี 2017PE 20 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่อยู่ที่ 28-30 เท่า น่าสนใจที่สุดในเชิง Valuations เราแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 76 บาท
(0) GLOBAL แม้ราคาหุ้นจะมี upside กว่า 10% จากเป้าหมายปีหน้าของเราที่ 17.20 บาท แต่ลดคำแนะนำเป็นถือ จากเดิมซื้อ ช่วงเวลานี้ไม่เหมาะกับการลงทุนใน GLOBAL จากกำไร 2H ที่แย่กว่า 1H ราคาหุ้นมักปรับลงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี และมีหุ้นตัวอื่นในกลุ่มที่ถูกกว่า สำหรับกำไร 3Q16 คาด -33% Q-Q, +32% Y-Y
(+) KBANK เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ จากถือ ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพง มี 2017PBV 1.2 เท่า คิดเป็นเพียง -1.5SD และสะท้อนความผิดหวัง NPL ที่พุ่งสูงใน 3Q16 ไปแล้ว แนวโน้ม NPL ratio น่าจะลดลงใน 4Q16 จากการ write off และสินเชื่อที่เพิ่ม เราคาด NPL ratio ปีหน้าจะคงที่ที่ 3.3-3.4% ยังคงราคาพื้นฐาน 202 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
1-2 พ.ย. - สหรัฐ: FOMCประชุม
1 พ.ย. - ไทย:อัตราเงินเฟ้อ (ต.ค.)
- ญี่ปุ่น: BOJประชุม
2 พ.ย. - ญี่ปุ่น: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Manufacuting PMI (ต.ค.)
- สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน(ต.ค.)
3-พ.ย. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ต.ค.)
- จีน: Caixin China PMI Composite (ต.ค.)
- อังกฤษ: BOEประชุม
4 พ.ย. - ไทย:รฟม.ประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม
- สหรัฐ:การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ต.ค.)
5 พ.ย. - อินโดนีเซีย: 3Q16 GDP
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดลบอีกเล็กน้อยโดยนักลงทุนยังจับตาดูเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งมีความไม่แน่นอน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลงต่อเนื่อง
(-) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนลบเช่นกันนำโดยหุ้นในกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง รวมถึงยอดค้าปลีกของเยอรมนีที่หดตัวในเดือน ก.ย.
(-) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น ขณะที่ลงทุนจับตาดูการประชุมของ RBA และ BoJ รวมถึงตัวเลข PMI ของจีน
(0) ค่าเงินบาทแกว่งทรงตัว ล่าสุดยังเคลื่อนไหวในกรอบ 34.95-35.05 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ร่วงลง 1.84 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 46.86 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถบรรลุประเด็นเรื่องการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 3.70 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,273.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดยังกังวลและจับตาประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในช่วงต้นเดือนนี้
Contact person : Somchai Anektaweepon Register : 002265
Tel: 02-646-9967, 02-646-9852 www.fnsyrus.com
FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch