- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 October 2016 16:33
- Hits: 1833
บล.เอเชีย เวลท์ : Daily Market Outlook
ตลาดผันผวนจากผลประกอบการบจ.สหรัฐและหลายเหตุการณ์สำคัญข้างหน้า
คาดหุ้นไทยวันนี้ไม่ไปไหนไกลในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคจากผลประกอบการบจ.สหรัฐที่มีทั้งดีและไม่ดี แม้ว่าโดยรวมแล้วกำไรในไตรมาส 3/59 ของบจ.ใน S&P 500 ดีกว่าคาดและดีขึ้นเรื่อยๆ ราคาน้ำมันร่วงต่อจากความไม่แน่ใจว่าผู้ผลิตน้ำมันจะร่วมมือกันลดการผลิตในเดือน พ.ย.ได้ ตัวเลขและเหตุการณ์สำคัญเบื้องหน้าที่ทำให้ตลาดยังคงผันผวนคือตัวเลข GDP สหรัฐที่จะประกาศพรุ่งนี้ การประชุม Fed สัปดาห์หน้า และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ภายในประเทศ ตัวเลขส่งออกโตเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือน ก.ย. เป็นปัจจัยบวกอย่างมาก ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เดือน ส.ค. ที่ 42.6% บ่งชี้ว่ารัฐบาลยังสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังได้อีกมาก
หุ้นเด่นวันนี้ : TTCL (ราคาปิด 23.20 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 28.50 บาท)
TTCL วางกลยุทธ์ในการมุ่งไปสู่การขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมีความเชี่ยวชาญด้านงานรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร (EPC) ในธุรกิจปิโตรเคมี และปิโตรเลียม เราคาดว่าไตรมาส 3/59 นี้ TTCL จะพลิกมามีกำไรราว 150 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 34% YoY และ 57% QoQ จากการฟื้นตัวของทั้งธุรกิจรับเหมา EPC และธุรกิจโรงไฟฟ้า 120 เมกะวัตต์ ในเมียนมาร์ซึ่งแก้ปัญหาด้านเครื่องจักรแล้วเสร็จตั้งแต่ปลาย มิ.ย.59 TTCL เข้าสู่ธุรกิจโซลาร์ฟาร์มประเทศญี่ปุ่น ลงทุน 25 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 3,000 ล้านบาท ภายใต้สัญญาสัมปทาน 20 ปี นอกจากนี้ TTCL เพาเวอร์โฮลดิ้ง (TTPHD) ซึ่งถือหุ้น 70% โดย TTCL วางแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งหมายถึง TTCL มุ่งมั่นที่จะผลักดัน TTPHD ในการดำเนินธุรกิจและการแสวงหาเงินทุนในตลาดโลกไม่เพียงแต่ในประเทศ โรงไฟฟ้าถ่านหินประเภท Ultra Super Critical Coal (USCC) ขนาด 1,280 เมกะวัตต์ ในเมียนมาร์ เผชิญกับปัญหาการเริ่มโครงการล่าช้า เนื่องจากรอการอนุมัติ PPA ของรัฐบาลเมียนมาร์ คาดว่าจะทราบผลในสิ้นปี 2559 นี้ และการก่อสร้างคาดว่าเริ่มได้ราวไตรมาส 2/60 เมื่อเริ่มเดินหน้าโรงไฟฟ้านี้ได้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับ TTCL เราให้ราคาเป้าหมายในปี 2560 เท่ากับ 28.50 บาทซึ่งได้มาจากวิธี sum-ofthe-parts (SOTP) ยังไม่รวมโรงไฟฟ้า 1,280 เมกะวัตต์ ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีอัพไซด์ 23% เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2559 เติบโต 34% และปี 2560 เติบโตอีก 8% เราเชื่อว่าธุรกิจของ TTCL ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว คาดว่าธุรกิจ EPC จะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากที่ลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีทั้งในและต่างประเทศ กลับมาใช้จ่ายเงินลงทุนหลังจากชะลอตัวไปในช่วงปี 2558 มุมมองทางเทคนิค Price Pattern ของ TTCL มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal โดยหาก Price Pattern ของ TTCL สามารถปิดตลาดรายเดือนได้เหนือ 24.80 บาท ก็จะกลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแนวโน้มหลักจากแนวโน้มขาลงไปสู่แนวโน้มขาขึ้น โดยมีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 24.30 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 30.25 บาท มีจุด Stop Loss ระยะสั้นของรอบนี้อยู่ที่ 18 บาท (Resistance: 23.30, 23.80, 24.40; Support: 22.80, 22.30, 21.70)
ปัจจัยสำคัญ
ประเด็นในประเทศ :
ส่งออกเดือนก.ย. โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง กระทรวงพาณิชย์แถลงตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย. 59 โดยการส่งออกมีมูลค่า 19,460 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 3.4% YoY โดยมาจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมหลายรายการ รวมไปถึงผลผลิตทางการเกษตร ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 16,914 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัว 5.6% YoY ส่งผลให้ดุลการค้าเดือน ก.ย.59 เกินดุล 2,546 ล้านดอลลาร์ฯ สำหรับแนวโน้มการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าจะปรับตัวในทิศทางดีขึ้นและมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนสุดท้าย (Bangkok Post/The Nation)
คลังประเมินหนี้สาธารณะต่อ GDP ในระดับที่บริหารจัดการได้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้างสิ้นสุดเดือน ส.ค. 59 จำนวน 5.95 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 42.6% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเมื่อเดือน ก.ค. ก่อนหน้าที่ 5.96 ล้านล้านบาท (42.9% ของ GDP) ทั้งนี้อัตราส่วนดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง และต่ำกว่าเพดานที่กระทรวงการคลังกำหนดไว้ภายใต้กรอบความยั่งยืนที่ 60% และเชื่อว่าจะสามารถบริหารจัดการได้จนถึงในปีสูงสุดในปี 2562 ที่จะขึ้นไปถึงระดับ 53% ซึ่งจะมาจากการลงทุนก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐ (Bangkok Post)
SCC (506.00 บ. ซื้อ ราคาเป้าหมาย AWS 638.00 บ.) รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q59 ในระดับสูงอยู่ที่ 1.41 หมื่นลบ. (-12% QoQ, +57% YoY) สูงกว่าที่เราและตลาด (Bloomberg consensus) คาดไว้เล็กน้อยว่าจะอยู่ที่ 1.30 หมื่นลบ. และ 1.32 หมื่นลบ. ตามลำดับ โดยความแตกต่างมาจากผลของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจำนวน 1.8 พันลบ. ขณะที่รายการอื่นๆ เป็นไปตามคาด (SET/ Bloomberg) ความเห็น: เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิ ราคาเป้าหมาย รวมถึงคำแนะนำ ซื้อ ไว้เช่นเดิม โปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในรายงานฉบับเต็มวันนี้
BDMS (21.60 บ. ซื้อ ราคาเป้าหมาย AWS 32.00 บ.) แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้บริษัทย่อย เปาโลเมดิค จำกัด เข้าซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท เมโยโพลีคลินิค จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลเมโย โดยคิดเป็นมูลค่าดีลทั้งสิ้นไม่เกิน 1.4 พันลบ. และคาดว่าจะทำรายการแล้วเสร็จภายในเดือน ม.ค. 60 (SET) ความเห็น: ถือเป็นไปตามแผนของ BDMS ที่จะขยายเครือข่ายตามเป้าหมายที่ 50 โรงพยาบาลภายในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โดยการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะเพิ่มจำนวนโรงพยาบาลขึ้นเป็น 44 แห่ง จากเดิม 43 แห่ง เบื้องต้นเรายังคงประมาณการไว้เช่นเดิมที่มองว่ากำไรปกติจะสามารถเติบโตได้ 15.9% และ 6.5% ในปีนี้และปีหน้าตามลำดับ
ต่างประเทศ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันพุธ ตามตลาดยุโรปและอังกฤษ ซึ่งโดยปกติการซื้อขายจะเงียบก่อนการประมูลพันธบัตรและตัวเลข GDP สหรัฐที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 0.085% อัตราผลตอบแทนส่วนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.156% ราคาพันธบัตรในยุโรปได้รับแรงกดดันจากปริมาณพันธบัตรในการประมูลที่อิตาลี เยอรมนี และโปรตุเกส (Reuters)
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อวันพุธ สะท้อนความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินของเฟดและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากที่ใกล้แตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดปิดลดลง 0.09% อยู่ที่ระดับ 98.634 หลังจากแตะที่ระดับ 99.119 เมื่อวันอังคารซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 1 ก.พ. ดัชนีดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือนนี้ ทำให้เป็นเดือนที่ดีที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี (Reuters)
สหรัฐ :
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดผสมผสานเมื่อวันพุธ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นโบอิ้งช่วยให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก แต่หุ้นแอปเปิล ยังคงกดดันดัชนี Nasdaq และ S&P500 บริษัทโบอิ้งซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานกำไรรายไตรมาสที่เพิ่มขึ้นแม้จะมียอดขายที่ลดลง ส่วนบริษัทแอปเปิล ได้รายงานยอดขายไอโฟนลดลงติดต่อกัน 3 ไตรมาส รายงานกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนมีผลอย่างมากต่อตลาดหุ้นสหรัฐในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 8 พ.ย. และการประชุมนโยบายเฟดในสัปดาห์หน้าได้เพิ่มความผันผวนให้ตลาด (Reuters)
กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใน S&P500 ที่ประกาศในช่วงที่ผ่านมาเป็นอัพไซด์ โดยประมาณการอัตราการเติบโตอยู่ที่ 2.2% จากที่ประมาณการว่าจะลดลง 0.5% เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ และเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อวันอังคาร ทั้งนี้ จากบริษัทที่ได้รายงานผลประกอบการ มี 74% ที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งมากกว่า 70% ของบริษัทที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าที่คาดการณ์ในช่วง 4 ไตรมาสที่ผ่านมา จากข้อมูลของ Thomson Reuters l/B/E/S (Reuters)
นักวิเคราะห์ประมาณการ GDP สหรัฐไตรมาส 3/59 จะขยายตัว 2.5% รัฐบาลสหรัฐจะประกาศประมาณการ GDP ไตรมาส 3/59 ในวันศุกร์นี้ จากผลสำรวจนักวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส GDP สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวในอัตรา 2.5% ในไตรมาส 3/59 ขยายตัวเร็วขึ้นกว่าในไตรมาส 2/59 ซึ่งขยายตัวลดลงอยู่ที่ 1.4% (Reuters)
ภาคบริการสหรัฐขยายตัวมากที่สุดในช่วง 12 เดือน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อเบื้องต้นของภาคบริการสหรัฐจากมาร์กิต อยู่ที่ 54.8 ในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นจาก 52.3 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของผลผลิตภาคบริการในเดือนต.ค. ตัวเลขล่าสุดนี้เป็นตัวเลขสูงสุดนับแต่เดือนพ.ย. 58 และตรงข้ามกับรูปแบบการเติบโตที่ลดลงในช่วงไตรมาส 3/59 (ดัชนีฯ อยู่ที่ 51.5 โดยเฉลี่ย) (Reuters)
สหรัฐฯ เผยยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้นผิดคาดในเดือนก.ย. สะท้อนถึงภาวะความต้องการที่ยังยืนตัวได้อยู่ แม้ว่าตัวเลขในเดือน ส.ค. จะถูกปรับลดลงก็ตาม โดยยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือน ก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 593,000 ยูนิต ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี สวนทางกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ทางกระทรวงยังได้ปรับลดตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ในเดือนส.ค. สู่ระดับ 575,000 ยูนิต จากเดิมที่ระดับ 609,000 ยูนิต (Reuters)
ยุโรป :
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธอ่อนตัวลง เนื่องจากนักลงทุนย่อยข่าวการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยกำไรของบริษัท Novozymes ที่ประกาศออกมาน้อยกว่าคาดได้ฉุดราคาหุ้นให้ปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดในรอบสองปี (Reuters)
นักลงทุนไม่คาดหวังว่า ECB จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้อีก จากคำกล่าวของนาย Mario Draghi ประธาน ECB ที่ตระหนักถึงการปรับเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมนับจากนี้ที่จะมีผลต่อภาคธนาคาร โดยจะไม่คงอัตราดอกเบี้ยในแดนลบไว้นานมากนัก นอกจากนี้ตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีขึ้นยังเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ปรับดอกเบี้ยขึ้น (Reuters)
เอเชีย :
การเปลี่ยนแปลงนโยบายของญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นควรพิจารณาการใช้จ่ายของภาครัฐมากขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากนโยบายการเงิน โคอิจิ ฮามาดะ ที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อะเบะ กล่าวเพื่อชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เน้นไปหานโยบายการคลังจากนโยบายการเงิน (Reuters)
หุ้นจีนปรับตัวลดลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์ในวันพุธที่ผ่านมา ผลจากความกังวลที่มีต่อสภาพคล่องตึงตัวมากขึ้นส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนตั๋วเงินคลัง ทำให้หุ้นทรัพยากรปรับตัวลง หักล้างความแข็งแกร่งในหุ้นที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ และหุ้นอุปโภคบริโภค อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นเป็นสัญญาณของสภาพคล่องที่ตึงตัวมากขึ้น ถูกเชื่อมโยงไปที่ข่าวการพิจารณากฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในการออกผลิตภัณฑ์บริหารความมั่งคั่งของธนาคาร ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของเงินทุนสำหรับตลาดตราสารหนี้ (Reuters)
สินค้าโภคภัณฑ์ :
น้ำมันปรับตัวลดลงต่ำกว่า 50 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในวันพุธที่ผ่านมา หลังเกิดความประหลาดใจในการลดลงของสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบสหรัฐฯ และข้อสงสัยว่าโอเปกจะสามารถรวมตัวกันในหมู่สมาชิกและรัสเซียเพื่อจัดการตัดผลผลิตน้ำมันดิบ ในเดือนพฤศจิกายนลง หน่วยงาน ElA ของสหรัฐฯ รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง 553,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับระดับที่ Consensus คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 86 เซนต์ (-1.7%) มาอยู่ที่ 49.93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มันลดลงต่ำถึง 49.65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล, ต่ำสุดนับตั้งแต่ 30 กันยายน โดยราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าสหรัฐฯ อยูที่ 49.18 เหรียญฯ ลดลง 78 เซนต์ (-1.56%) (Reuters)
ราคาทองคำปรับตัวลดลงในวันพุธ ขณะที่นักลงทุนผู้ชอบสำหรับสินทรัพย์เสี่ยงเช่นหุ้นและน้ำมันดิบฟื้นตัวเล็กน้อย ดีมานด์ความต้องการทองคำแท่งมักจะถูกพิจารณาว่าเป็นที่หลบภัย ราคาทองคำสปอตปรับตัวลดลง 0.6% มาอยู่ที่ 1,265.75 เหรียญฯ ต่อออนซ์ ในช่วงชั่วโมงซื้อขายก่อนหน้านี้ขึ้นไปถึง 1,276.67 เหรียญฯ ต่อออนซ์ สูงสุดนับตั้งแต่ 5 ตุลาคม (Reuters)
Thailand Research Department
Mr. Warut Siwasariyanon (No.17923) TeI: 02 680 5041
Mr. Krit SuwanpibuI (No.17968) TeI: 02 680 5090
Mrs. VajiraIux SangIerdsiIIapachai (No. 17385) TeI: 02 680 5077
Mr. Narudon Rusme, CFA (No.29737) TeI: 02 680 5056
Mr. Napat Siworapongpun (No.49234) TeI: 02 680 5094