- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 25 October 2016 17:10
- Hits: 2807
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อตามค่าบวก/ถือเมื่อ SET ไม่หลุด 1485'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index วันศุกร์ปรับขึ้นต่อ ปิดตลาดที่ 1500.37 จุด (+7.64 จุด) โดยมีการเลือกซื้อหุ้นรายบริษัทกระจายไปในกลุ่มต่างๆ นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 447 ล้านบาท ต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิ 535 ล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท
ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นดี ดัชนี PMI ภาคผลิต & บริการยูโรโซนแข็งแกร่งสุดในรอบ 10 เดือน ส่วน PMI ภาคผลิตของจีนทรงตัวในระดับ 52 ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นต่อ Dollar Index เพิ่มเป็น 98.762 จากระดับ 95.3-95.4 เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว บ่งชี้โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ส่วนราคาน้ำมันดิบอ่อนลงเล็กน้อย หลังอิรักมีทีท่าว่าจะไม่ร่วมลดปริมาณการผลิต โดยอ้างว่าต้องหาเงินเพื่อทำสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย IS เราคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ BRENT ไว้ในกรอบ 45-55 US$/bbl ในช่วงนี้ ส่วนในประเทศ มูลค่าส่งออกเดือนก.ย.เติบโตเป็นบวกและสูงสุดในรอบ 2 ปี (+5%YoY ถ้าไม่รวมส่งออกทองคำและน้ำมัน & ผลิตภัณฑ์) และวันนี้ครม.จะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้ามูลค่า 1.75 หมื่นล้านบาทที่กระทรวงการคลังนำเสนอ รวมทั้งมีปัจจัยเรื่องรายงานผลประกอบการ 3Q59 ซึ่งจะทยอยออกไปจนถึงกลางเดือนพ.ย.59 จึงยังมีการเลือกซื้อเก็งกำไรเป็นรายบริษัทกันต่อ
กลยุทธ์ : เล่นรอบเน้นซื้อตามค่าบวก ส่วนภาพใหญ่ถ้า SET ไม่สามารถยืนเหนือ 1500 ได้แนะนำให้ขายปรับพอร์ต/หรือ Take profit หุ้นที่ปรับขึ้นแรงก่อน การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) ต่อไป สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้เป็น KAMART
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นสัญญาณเป็นบวก แต่ก็ควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง เน้นซื้อตามค่าบวก แนวต้าน 1505-1510, 1520-1530 จุด แต่หากมีการอ่อนตัวจนหลุด 1485 ก็ควรลดพอร์ตตาม
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นเพิ่มขึ้นดี
ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นของสหรัฐซึ่งจัดทำโดยมาร์กิตดีดตัวขึ้นแตะระดับ 53.2 ในเดือนต.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์ที่ 51.2 และยังสูงกว่าระดับเดือนก.ย.ซึ่งอยู่ที่ 51.5
+ ยูโรโซน : PMI รวมเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นและสูงสุดในรอบ 10 เดือน
มาร์กิต อิโคโนมิคส์ เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซนขั้นเบื้องต้นเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 53.7 เพิ่มขึ้นจากระดับ 52.6 ในเดือนก.ย. และทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 เดือน นำโดยเยอรมนี ซึ่งดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 53.5 ทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือน จากระดับ 52.2 เมื่อเดือนก.ย. ส่วน PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 เดือนที่ 53.3 จากระดับ 52.6 ในเดือนก.ย.
จีน : ดัชนี PMI ภาคบริการทรงตัว
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซินอยู่ที่ระดับ 52 ในเดือนก.ย. ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 52.1 ในเดือนส.ค. แต่ดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นรับผลประกอบการ & การควบรวมกิจการ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืน 24 ต.ค. เนื่องจากตัวเลขผลประกอบการที่สดใสของบริษัทต่างๆ รวมทั้งข่าวการประกาศการควบรวมกิจการ (เอทีแอนด์ที ประกาศซื้อกิจการไทม์ วอร์เนอร์ มูลค่า 8.54 หมื่นล้านUS$) ปิดตลาดดัชนี DJIA อยู่ที่ 18,223.03 จุด เพิ่มขึ้น 77.32 จุด หรือ +0.43% ดัชนี NASDAQ ปิด 5,309.83 จุด เพิ่มขึ้น 52.43 จุด หรือ +1.00% ดัชนี S&P500 ปิด 2,151.33 จุด เพิ่มขึ้น 10.17 จุด หรือ +0.47%
ราคาน้ำมันดิบ : อ่อนลงเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลดลง 33 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 50.52 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 30 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 51.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้กลุ่มโอเปกได้ตกลงกันในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่ประเทศแอลจีเรียเมื่อเดือนก.ย.ว่าจะลดกำลังการผลิตโดยรวมลงสู่ระดับ 32.5 - 33.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยจะมีการหารือกันในรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวในการประชุมวันที่ 30 พ.ย.ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แต่...ทางรมว.น้ำมันของอิรักกล่าวว่า อิรักควรได้รับการยกเว้นจากแผนปรับลดปริมาณการผลิตเพราะอิรักต้องใช้เงินในการทำสงครามกับกลุ่มก่อการร้าย IS รวมทั้งจะเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนต.ค.เล็กน้อย (เดือนก.ย.อิรักผลิตที่ 4.774 ล้านบาร์เรล/วัน)
- ราคาทองคำ : อ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 4 ดอลลาร์ หรือ 0.32% ปิดที่ระดับ 1,263.70 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากการแข็งค่าของเงิน US$ ซึ่งล่าสุดดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้ปรับขึ้นเป็น 98.762 จากระดับ 95.3-95.4 เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
เศรษฐกิจไทย : สศช.คง GDP Growth ปีนี้ไว้ที่ 3.3-3.5%
เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ (สศช.) เปิดเผยว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะปกติ โดยสศช.ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปี 59 ไว้เท่าเดิมที่ 3.3-3.5% แม้ว่าในไตรมาส 3/59 จะขยายตัวได้ต่ำกว่าไตรมาส 2/59 (+0.8%QoQ, +3.5%YoY) เพราะไม่มีแรงปัจจัยพิเศษมาช่วยโดยเฉพาะกำลังซื้อรถยนต์ แต่ในไตรมาส 4/59 ก็มีสัญญาณที่ชัดเจนว่ามีแรงขับเคลื่อนที่ดีขึ้น ทั้งจากการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ ราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ที่สำคัญยังมีแรงส่งจากการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้
+ เศรษฐกิจไทย : คลังชงครม.ไฟเขียวงบ 1.75 หมื่นล้านกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 25 ต.ค.59 (วันนี้) กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากผ่านหมู่บ้านกว่า 70,000 แห่งทั่วประเทศ โดยจะจ่ายเงินให้หมู่บ้านละ 250,000 บาท หรือคิดเป็นวงเงินรวม 17,500 ล้านบาท เพื่อให้แต่ละหมู่บ้านนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในโครงการขนาดเล็กตามแนวทางประชารัฐในปีงบประมาณ 2560 ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่รัฐบาลเห็นว่าควรดำเนินการต่อเนื่อง จากปีงบประมารณ 2559 เพราะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนและยังสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทุกภูมิภาคของประเทศได้ด้วย
+ เศรษฐกิจไทย : มูลค่าส่งออกก.ย.59 สูงสุดรอบ 2 ปี
กระทรวงพาณิชย์กล่าวถึงมูลค่าการส่งออกเดือนก.ย.59 ในเบื้องต้นว่าเพิ่มขึ้นเป็น 19,460.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดในรอบเดือน 2 ปี โดย +3.43%YoY แต่ถ้าไม่คิดรวมมูลค่าการส่งออกทองคำและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องน้ำมันจะ +5%YoY ส่วนมูลค่าส่งออกในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 59 อยู่ที่ 160,467.7 ล้านเหรียญ -0.65%YoY ซึ่งเป็นมูลค่าและอัตราขยายตัวที่น่าพอใจในช่วงที่เศรษฐกิจและการค้าโลกซบเซา
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : กำไร 3Q59 เป็นไปตามคาด
กำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 7 แห่งที่ DBSV ทำการวิเคราะห์ 3Q59 เท่ากับ 43.7 พันล้านบาท (+13%YoY, +2%QoQ) ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ไว้ โดย KTB มีกำไรดีกว่าที่เราประมาณการไว้ ขณะที่ TMB กำไรน้อยกว่าคาด ส่วนอีก 5 ธนาคารเป็นไปตามคาด ธนาคารที่มีกำไรเติบโตทั้ง YoY และ QoQ คือ KBANK, TISCO และ TCAP
กลุ่มธนาคารของไทยยังถูกจับตามองเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ และมีความเสี่ยงที่ธนาคารจะตั้งสำรองค่าเผื่อฯสูงต่อใน 4Q59 และในปี 60 จึงมีโอกาสที่ DBSV จะปรับลดคาดการณ์กำไรปี 60 ของกลุ่มลงเพื่อสะท้อนสมมติฐานการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่ยังคงสูงและมากกว่าที่เราเคยประมาณการไว้
สำหรับปัจจัยที่จะเป็น Catalyst คือ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนให้กระเตื้องขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงให้ KBANK เป็นหุ้น Top pick ในธนาคารขนาดใหญ่และ TCAP เป็นหุ้นเด่นในธนาคารขนาดเล็ก เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยซื้อสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
-/ VNT (ราคาปิด 10 บาท) : อุบัติเหตุที่หน่วยผลิตคลอโรไวนิลส์ไม่กระทบมาก
VNT แจ้งว่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา เวลา 14.04 น. ได้เกิดอุบัติเหตุที่หน่วยผลิตคอลโรไวนิลส์ของบริษัท ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง โดยอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากสารเคมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 50% ได้เกิดปฏิกิริยาสารเคมีในถังขนาด 1 ลูกบาศก์เมตรจึงทำให้เกิดแรงดันสูงและเกิดการระเบิดของถัง บริษัทได้จัดทีมเข้าควบคุมเหตุฉุกเฉินและระงับเหตุได้ด้วยตนเองภายในเวลา 40 นาที ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตสินค้าหลักของบริษัทแต่อย่างใด เราคาดว่าความเสียหายด้านสินทรัพย์จะมีประกันภัยรองรับ
+ KAMART (ราคาปิด 13.30 บาท) : คาดกำไร 3Q59 เติบโตดี
ใน 2Q59 บริษัทมีกำไรสุทธิ 62 ล้านบาท (-5%YoY เพราะใน 2Q58 มีรายการพิเศษ แต่หากคิดเฉพาะ Core Profit พบว่า +20%YoY) แม้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มจากการทำการตลาด แต่ยอดขายที่เติบโตและมาร์จิ้นที่สูงราว 55-56% ทำให้กำไรสุทธิขยายตัวได้ สำหรับ 3Q59 เราคาดว่ากำไรสุทธิจะยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบ YoY ซึ่งมาจากการขยายตัวของยอดขายในประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาของ Modern Trade โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 7-11 ซึ่งเปิดสาขาใหม่ปีละประมาณ 700 แห่ง รวมทั้งการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่เติบโตสูงและคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนั้นบริษัทไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจเดินรถโดยสารอีกหลังจากขายออกไปแล้วในเดือนมิ.ย.59 เราประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 59 จะขยายตัวประมาณ 30% และเติบโตต่อไม่น้อยกว่า 20% ในปี 60 ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร ในทางเทคนิคให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 14.0, 14.50 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]