- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 18 October 2016 17:04
- Hits: 6936
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
Today’s Report : Commoditits WoW, DW Report, IRPC, KKP, SELIC (FirstDayTrade), TCAP
Our Portfolio Oct 2016 : BJC, EKH, FSMART, IRPC, KKP
SET ยังผันผวนและอ่อนตัวลงอีกได้ แต่คาดกรอบลบจำกัด ก่อนขึ้นต่อ!
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET มีแรงขายทำกำไรช่วงบวกกดดัน หลังจากปลายสัปดาห์ที่แล้วดัชนีรีบาวด์กลับขึ้นมาได้ถึงกว่า 100 จุดภายใน 2 วันทำการส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวด้านลบเป็นหลัก แต่กรอบลบค่อนข้างแคบ เนื่องจากแรงซื้อยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวมาตั้งแต่ช่วงบ่ายวันศุกร์ ก็เริ่มทรงตัวและกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ช่วยหนุนให้ความมั่นใจในตลาดหุ้นมีมากขึ้นตามไปด้วย SET จึงปิดเป็นลบไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แนวโน้มตลาดวันนี้ : บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปเมื่อคืนนี้ ยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ หลังวานนี้รองประธานเฟดได้ออกมาแสดงความเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยต่ำอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงและยาวนานได้ ซึ่งสวนทางกับสุนทรพจน์ของประธานเฟดเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้ SET ยังมีโอกาสที่จะแกว่งตัวผันผวนและอ่อนตัวลงต่อได้อีก อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทที่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังมีจังหวะฟื้นตัวขึ้นใหม่ตั้งแต่ช่วงค่ำวานนี้ต่อเนื่องถึงเช้านี้ น่าจะทำให้กรอบการปรับตัวของSET ยังจำกัด โดย FSS คาดว่าตลาดน่าจะพักตัวลงเพียงระยะสั้น ก่อนที่จะลุ้นพลิกกลับไปแกว่งบวกได้ใหม่อีกครั้งในเร็วๆ นี้
กลยุทธ์ : เรายังแนะนำเลือกหุ้นทยอยซื้อช่วงตลาดเป็นลบ แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบบวกครั้งใหม่ ก่อนพิจารณาหาจังหวะขายทำกำไรกันต่อไป
แนวรับ 1475-1470 , 1465-1460 , 1455-1445 จุด
แนวต้าน 1480-1487 , 1493-1498 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BCH , FSMART , SAWAD(buy back)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$13ล้าน ไหลออกไทยมากที่สุด US$158ล้าน ตามด้วยอินโดนีเซีย US$37ล้าน และไต้หวันUS$13ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ประเทศเดียว US$207ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคอีกครั้ง ตลาดกลับมากังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนการประชุม Fed ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนหน้า
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
• (+) SELIC เป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์กาว (กาวน้ำ กาวร้อน) จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศกว่า 27 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้การขายในประเทศ 80% และต่างประเทศ 20%กลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนมากอยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้าง และเครื่องหนัง การเติบโตจึงขึ้นกับการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและภาครัฐ และการลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงตลาดส่งออก จุดแข็งของ SELIC คือ R&D และบริการหลังการขายที่ช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่า กำไร 3 ปีที่ผ่านมา (2013-15) โตเฉลี่ย 154% Y-Y จากการปรับProduct mix เราคาดกำไรปีนี้ +14.0% Y-Y ปีหน้า +41.7% Y-Y ประเมินราคาพื้นฐานปี2017 ที่ 3.45 บาท (PE 15 เท่า) (FSS เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ SELIC)
• (+) KKP กำไรดีกว่าเราและตลาดคาดมาก และดีที่สุดในกลุ่มแบงก์เช่าซื้อ ในขณะที่กำไร 3Q16 ของทั้งกลุ่มแบงก์เช่าซื้อ +11.9% Q-Q, +44.0% Y-Y ดีกว่าคาด 10%เป็นเพราะกำไร KKP ที่ดีกว่าคาดและเติบโตสูงสุดในกลุ่มโดย +30% Q-Q, +83% Y-Yเป็น 1.7 พันล้านบาทเพราะมีรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้เสร็จ 569 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลด Spread จึงพุ่งเป็น 5% จาก 4.6% ใน 2Q16 มีกำไรขาย KKTrade114 ล้านบาทและขาย NPA 815 ล้านบาท ส่วน NPL ratio ลดลงเป็น 5.9% จาก 6.1%ใน 2Q16 Coverage ratio แกร่งขึ้นเป็น 105% จาก 96% ใน 2Q16 กำไรงวด 9M16+75% Y-Y เราจึงปรับกำไรปีนี้ขึ้น 5% เป็น +57% Y-Y และปรับกำไรปี 2017 ขึ้น 3.5%เป็น +4.7% Y-Y ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 71 บาท จาก 68 บาท ทำให้ upside สูงสุดในกลุ่มแบงก์เช่าซื้อ ราคาหุ้นปัจจุบันมี 2017PBV 1.1 เท่าใกล้เคียงกลุ่มแต่ Dividend yieldสูงสุดในกลุ่มคือ 7% ต่อปี ยังคงแนะนำซื้อ
• (+) TCAP กำไรสุทธิ 3Q16 ใกล้เคียงที่เราและตลาดคาด +2.5% Q-Q, +11% Y-Yจากต้นทุนเงินฝากที่ลดลงตามการปรับโครงสร้างเงินฝากสู่ฐาน CASA มากขึ้น สินเชื่อยังชะลอตัวแต่ตามคาด NPL ลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 9 NPL Ratio ลดลงเหลือ 2.56%Coverage ratio ปรับขึ้นไปเกินเป้าของธนาคารที่ 133% แนวโน้มกำไร 4Q16 คาดทรงตัว Q-Q และอาจมี Upside ตามการกันสำรองฯที่ลดลง เราคงคาดการณ์กำไรสุทธิปี2016-ปี 2017 +8% Y-Y ต่อปี แนะนำซื้อ ปรับมาใช้ราคาเหมาะสมปี 2017 ที่ 50 บาท
• (0) IRPC เราคาดกำไรสุทธิ 3Q16 -63% Q-Q, +56% Y-Y เป็น 1.4 พันล้านบาทน่าผิดหวังเพราะโครงการ UHV ยังไม่สร้างกำไรให้ได้ตามที่คาด จากการใช้กำลังการผลิตน่าจะต่ำเพียง 70% เพราะอยู่ระหว่างทดสอบเครื่องจักร ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประกอบกับธุรกิจปิโตรเคมีมี margin ลดลงตามค่าการกลั่น แต่แนวโน้ม 4Q16 จะดีขึ้นเพราะปัจจุบันการโครงการ UHV ใช้กำลังการผลิตในระดับ 90% แล้ว เรายังคงคาดกำไรปีนี้ +6% Y-Y แต่ปี 2017 -9% Y-Y เพราะกำไรจากสต็อกน้ำมันลดลงและมีหยุดซ่อมบำรุงราว 1 เดือนต้นปีหน้า แต่มี 2017PE เพียง 11 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มพลังงานเล็กน้อย และคาดDividend yield 4% ต่อปี จึงยังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 5.80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
10-21 ต.ค. - ไทย: กลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศผลประกอบการ 3Q16
18 ต.ค. - ไทย: SELIC เข้าเทรด (ราคา IPO 2.90 บาท)
- สหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
19 ต.ค. - จีน: 3Q16 GDP, ยอดค้าปลีก (ก.ย.)
20 ต.ค. - ไทย: ยอดขายรถ (ก.ย.)
- อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI) ประชุม
- สหรัฐ: Fed beige Book, ยอดขายบ้านเก่า (ก.ย.), การดีเบตรอบสุด
ท้ายของฮิลลารีและทรัมป์ (8am เวลาไทย)
- ECB ประชุม
24 ต.ค. - ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ต.ค.)
25 ต.ค. - เกาหลีใต้: 3Q16 GDP
28 ต.ค. - ไทย: กกพ.ประกาศผลผู้ได้รับอนุมัติทำโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง รวมถึงรองประธาน FED ที่ออกมาส่งสัญญาณเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปีนี้
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบเช่นกันโดยนักลงทุนจับตาการประชุม ECB ที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวค่อนมาในแดนบวกสวนทางกับภูมิภาคอื่นๆ อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือตัวเลขเศรษฐกิจจีนวันพรุ่งนี้
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นพอสมควร ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ35.05-35.30 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. ลดลง 0.41 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 49.94 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยยังมีความกังวลเรื่องของอุปทานที่ยังสูง โดยมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบของลิเบียและจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรับฯปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,256.60 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มอ่อนค่า รวมถึงกระเสเงินทุนที่ไหลเข้า ETFs
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: fss_research