- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 October 2016 16:05
- Hits: 9012
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : LALIN (จากถือเป็นซื้อ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ผันผวน โดยร่วงแรงในวันแล้วดีดกลับช่วงท้าย ดัชนีลงไปต่ำสุดที่ 1356.79 (-49.39 จุด) แล้วปรับขึ้นมาปิดที่ 1412.83 (+6.64 จุด) โดยมีแรงซื้อกลับหุ้นหลักในกลุ่มต่างๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์, สื่อสาร, พลังงาน ค้าปลีก สนามบิน เป็นต้น นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มเดียวที่นำซื้อสุทธิเกือบ 1 หมื่นล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย 585 ล้านบาทพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ 2.5 และ 6.8 พันล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับวันนี้ ความกังวลกับปัจจัยภายในประเทศผ่อนคลายลงหลังจากที่มีความชัดเจนในหลายเรื่อง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงรับพระราชทานเป็นองค์รัชทายาท แต่ทรงขอเวลาแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนไทยในระยะเวลาหนึ่งก่อน และในระหว่างนี้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการไปก่อน เมื่ออัญเชิญองค์รัชทายาทแล้วประธานสภาจะแจ้งให้ประชาชนรับทราบต่อไปอย่างไรก็ดี ความวิตกกับปัจจัยต่างประเทศดูมีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง (เดือนก.ย.ส่งออกติดลบถึง 5.6%YoY) สหรัฐกำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ย สหภาพยุโรปและ UK มีประเด็นเรื่อง Brexit ญี่ปุ่นยังเผชิญปัญหาค่าเงินเยนแข็งทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ามาก ดังนั้นเรายังไม่สามารถไว้วางใจตลาดได้มากนัก ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน การเล่นรอบ ซื้อตามค่าบวก ถ้าไม่ผ่าน 1450 หรือผ่านแล้วไม่สามารถยืนเหนือ 1450 ได้ แนะนำให้ขาย/Take profit ออกไปก่อน การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี (ถอยรับเป็น Step แบบ Rebalancing) ต่อไป สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้เป็น SCB
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง เน้นซื้อตามค่าบวก แนวต้าน 1420-1430, 1440 จุด แต่หากมีการอ่อนตัวจากระดับปิดเมื่อวานนี้จะมีแนวรับ 1360-1340 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่ –ไม่มี- ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List –ไม่มี- หุ้นที่หลุด List –ไม่มี- ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและควรหาจังหวะ Take Profit –ไม่มี-
ปัจจัยต่างประเทศ
- จีน : ยอดการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ย.ซบเซา
สำนักงานศุลกากรจีนรายงานว่า ยอดส่งออกเดือนก.ย. -5.6%YoY ขณะที่ยอดนำเข้า +2.2% ส่วนมูลค่าการค้าต่างประเทศในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ -1.9%YoY โดยยอดส่งออก 9M59 อ่อนลงที่ -1.6% และยอดนำเข้า -2.3%
• สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการครั้งแรกรายสัปดาห์ทรงตัว
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวในสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับต่ำสุดในรอบ 43 ปีที่ 246,000 ราย ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 254,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
• ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนแรงในวันแต่ดีดขึ้นมาปิดลบไม่มาก
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,098.94 จุด ลดลง 45.26 จุด หรือ -0.25% แม้ว่าในระหว่างวันจะลงไปต่ำกว่า 18,000 จุด แต่ก็มีแรงซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดีกลับเข้ามา เช่น เดลต้า แอร์ไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ตลาดจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานเฟดในการประชุมเศรษฐกิจครั้งที่ 60 ของเฟดบอสตันในวันนี้ (ตามเวลาสหรัฐ) เพื่อจับสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "The Elusive Recovery"
•/+ สัญญาน้ำมันดิบ : ขยับขึ้นเล็กน้อย
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 50.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 52.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 474 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล
• สัญญาทองคำ : ขยับขึ้นต่อแต่ไม่มาก
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 3.8 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ระดับ 1,257.6 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้การยืนแข็งค่าของเงินดอลลาร์เพราะคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปลายปีนี้กดดันราคาทองคำในช่วงนี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• ตลาดหุ้นไทย : หุ้นที่ DBSV ให้เป็น Top Picks ในกลุ่ม Market Cap ใหญ่และกลุ่มเติบโตสูง
ดัชนีราคาหุ้นได้ปรับลดลงแรงมา 4 วันทำการ โดย SET Index ลดลงจากระดับปิด 1504.34 จุดในวันที่ 7 ต.ค.59 สู่ระดับปิด 1412.82 จุดหรือ -6.1% (แต่ที่ระดับต่ำสุด 1343.13 จุดลดลงถึง -10.7%) ซึ่งสะท้อนความไม่แน่นอนในประเทศไปพอควร และคาดการณ์ว่าระยะสั้นตลาดมีโอกาสรีบาวด์ต่อได้ โดยมีเป้าหมายทางเทคนิคที่ 1450, 1470-1480 จุด หุ้น Top-20 Market Cap ใน SET
ที่มา : SET, DBS Vickers
สำหรับหุ้นที่มี Market Cap สูงสุด 20 อันดับในตลาดหุ้นไทยและเป็นหุ้นที่ DBSV แนะนำซื้อ คือ PTT, SCC, CPALL,AOT, SCB, ADVANC, KBANK, BDMS, BBL, PTTGC, CPN, CPF และ MINT โดยมีข้อมูลสรุปประมาณการกำไรสุทธิ และ Valuation
ส่วนนักลงทุนที่ชอบหุ้นเติบโต (Growth stock) เราก็ได้สแกนหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิปี 2560 ขยายตัวสูงในแต่ละ
กลุ่มอุตสาหกรรมออกมา พบว่าหุ้นที่น่าสนใจเป็นดังนี้
# กลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นในปีหน้าเป็น KBANK, KTB, SCB โดยหลักมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อฯลดลงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น การฟื้นตัวของสินเชื่อและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
# กลุ่มค้าปลีก เป็น CPALL โดยธุรกิจบริษัทอิงกับความต้องการขั้นพื้นฐาน ราคาต่อหน่วยไม่สูง และขยายสาขาต่อเนื่อง, COM7 ยอดขายเติบโตตามความนิยมของผู้บริโภค และการมี Economy of scale เพิ่มขึ้น สำหรับ Catalyst ในช่วงสั้น คือ ยอดขาย iPhone7 และ 7 Plus ที่แข็งแกร่ง
# กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คือ EPG ส่วนหุ้นวัสดุก่อสร้างอื่นซึ่งรวมถึง SCC กำไรจะเติบโตไม่มากเพราะฐานกำไรปี 59 สูงขณะที่กลุ่มเหล็กกำไรปี 60 จะลดลงจากฐานกำไรที่สูงผิดปกติในปี 59
# กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เป็น STEC โดยคาดว่าบริษัทจะได้รับงานลงทุนภาครัฐเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ Backlog มีความมั่นคง, TTCL งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศเมียนมาร์ช่วยหนุน Backlog และกำไรในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า
# กลุ่มพลังงาน คือ GUNKUL เพราะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้ามากขึ้น ส่วนหุ้นพลังงานอื่น จะมีกำไรปี 60 ขยายตัวไม่มาก เพราะฐานกำไรปี 59 สูงจากการที่มีกำไรจากสต็อกโรงกลั่นช่วยหนุน
# กลุ่มไฟแนนซ์ เป็น GL ซึ่งมาจากการขยายสินเชื่อในกัมพูชาและลาว รวมทั้งการเข้าลงทุน & ซื้อกิจการเพิ่ม
# กลุ่มอาหาร คือ TKN โดยมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 90% ของที่มีอยู่ โรงงานใหม่จะผลิตเป็นเฟสๆ เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นปี 60 เป็นต้นไป
# กลุ่มโรงพยาบาล เป็น CHG, LPH ซึ่งเป็นผลจากการขยายบริการ ทำศูนย์รักษาเฉพาะทาง เพิ่มประสิทธิภาพ & ลดต้นทุน และการเข้าซื้อกิจการ
# กลุ่มสื่อสาร เป็น ILINK ส่วนหุ้นสื่อสารขนาดใหญ่ กำไรเติบโตจำกัดเพราะการแข่งขันสูง มีค่าตัดจำหน่ายใบอนุญาตและค่าเสื่อมจากการลงทุนเพิ่มขึ้น
# กลุ่มปิโตรเคมี คือ PTTGC โดยคาดว่าจะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงทั้งในแผนและนอกแผนมากเหมือนที่เกิดขึ้นในปี 59 ขณะที่ Spread ของโอเลฟินส์อยู่ในเกณฑ์ดี
# กลุ่มที่พักอาศัย ได้แก่ ANAN และ AP เนื่องจากมีการโอนรับรู้รายได้คอนโดในปี 60 จำนวนมาก และโครงการที่เปิดขายใหม่ในปี 59 ก็มียอดขายอยู่ในเกณฑ์ดีแม้เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา
# กลุ่มให้เช่าพื้นที่ คือ CPN ซึ่งมีอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นและโครงการที่เปิดใหม่ในปี 59 รับรู้รายได้เต็มปี 60 อัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเฉลี่ยยังคงสูงกว่า 90%
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]