- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 14 October 2016 15:16
- Hits: 913
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แม้ SET ยังผันผวนรุนแรง แต่ก็ถือลงทุนต่อได้ ส่วนซื้อใหม่เน้นเทรดดิ้ง
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ยังปรับตัวลงแรงในกรอบแกว่งวันก่อน ตามภาวะตลาดหุ้นเอเชียที่ถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ แต่ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุน ซึ่งคาดว่ามาจากการที่ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นในระหว่างวันด้วย จนทำให้ SET พลิกกลับจากเป็นลบเกือบ 50 จุดมาเป็นปิดบวก 6 จุดเศษได้
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เช้านี้แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปยังปิดลบแรงพอควร หลังทางการจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่ซบเซา ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งช่วงแรกก็กดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงถึงเกือบ 200 จุดด้วย แต่ยังมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีดาวโจนส์ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาปิดเป็นลบไปเพียง 45 จุดเศษเท่านั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ยังสามารถเปิดทรงตัวบวก/ลบ แคบๆ ได้ ทำให้ FSS คาดว่า SET ก็มีแนวโน้มที่จะยังขยับบวกต่อให้เห็น หลังจากช่วงท้ายตลาดวานนี้เราเริ่มเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาบ้างแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตามคาดว่านักลงทุนบางส่วนยังต้องการรอฟังสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐจากสุนทรพจน์ของประธานเฟดในค่ำวันนี้ด้วย ดังนั้นยังต้องระวังการแกว่งตัวผันผวนของ SET
กลยุทธ์ : ส่วนที่แนะนำลงทุนยังถือต่อเนื่อง เพื่อรอการฟื้นตัวของตลาดได้ แต่ซื้อใหม่ช่วงนี้ยังเน้นเทรดดิ้งสั้นตามรอบในลักษณะลงซื้อ-ขึ้นขายไว้ก่อน
แนวรับ 1406-1393 , 1387-1370 จุด
แนวต้าน 1420-1435 , 1440-1460 จุด
หุ้นเด่นทางเทคนิค : CBG , AUCT , SAWAD(short)
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$193ล้าน นำโดยไต้หวัน US$210ล้าน อินโดนีเซีย US$72ล้าน และไทย US$16ล้าน ขณะที่ไหลเข้าเกาหลีใต้ประเทศเดียว US$121ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลออกจากภูมิภาคหลังการรายงานตัวเลขส่งออกจีนร่วงลงเหนือความคาดหมาย ขณะที่ความกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังอยู่
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ค่าเงินบาทผันผวน ต่างชาติยังขายพันธบัตรต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ปริมาณสูงถึงเฉลี่ย 8 พันล้านบาทต่อวัน ในต่างประเทศ ตลาดกังวลกับตัวเลขส่งออกของจีนเดือน ก.ย. ที่หดตัวแรง -10% Y-Y ต่ำกว่าตลาดคาดมาก และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด Sentiment โดยรวมยังเป็นลบทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสัปดาห์หน้าติดตามการประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารของไทย
(+) EKH ราคาหุ้น laggard กว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มโรงพยาบาล กำไรในปีนี้มีโอกาสดีกว่าที่คาดทั้งที่เราเพิ่งปรับประมาณการกำไรขึ้นในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาเป็น +45% Y-Y เป็น 71 ล้านบาทปีนี้และ +20% Y-Y เป็น 84 ล้านบาทในปีหน้า แต่เนื่องจากฝนยังคงตกชุกในช่วงนี้และเป็นที่มาของโรคหวัดในเด็ก ซึ่ง EKH มีชื่อเสียงในด้านศูนย์แม่และเด็กและเป็นหนึ่งในศูนย์ที่สร้างรายได้หลักของโรงพยาบาล ราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น 2017PE 37 เท่า (อิงจากกำไรที่อาจจะ conservative เกินไปของเรา) ถูกที่สุดตั้งแต่เข้าตลาด (ปลาย ก.ค.) เราคิดเป็นว่าโอกาสในการซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 7 บาท (อยู่ระหว่างทบทวน)
(+) BIG ราคาหุ้นที่ปรับลง 15% ในช่วง 4 วันที่ผ่านมาทำให้ 2017PE เหลือเพียง 13 เท่า ขณะที่เราคาดกำไร +85% Y-Y ในปี 2016 และ +15.4% ในปี 2017 เท่ากับบริษัทที่ 2017PEG ต่ำกว่า 1 เท่า ถือว่าถูกเกินไปสำหรับบริษัทที่มี ROE สูงถึง 72% นอกจากนี้ เราคาด Dividend yield ปีนี้ 3.3% ปีหน้า 3.9% กำไร 2H16 ยังสดใสแม้ Big Camera Big Pro Day ครั้งที่ 10 จะทำยอดขายได้ไม่มากเท่าครั้งก่อนเพราะสินค้าหลายตัวขาดตลาดและรุ่นใหม่ๆยังไม่มา ส่วนธุรกิจพิมพ์ภาพดิจิตอลประสบความสำเร็จมาก เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานปีหน้า 5.55 บาท (อิง PE 20 เท่า)
(-) PTTEP เราคาดกำไรสุทธิ 3Q16 +123% Q-Q เป็น 5.9 พันล้านบาทจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและ Hedging US$30 ล้าน ขณะที่ 2Q16 รายการพิเศษเป็นการขาดทุน แต่ผลการดำเนินงานหลัก คาดชะลอลงจากปริมาณขายลดลง (ปิดซ่อมแหล่งปิโตรเลียมในพม่า) และราคาน้ำมันลดลง ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังไม่ใช่เวลาที่น่าซื้อหุ้น PTTEP เพราะการเติบโตของผลประกอบการช่วงที่เหลือของปียังถูกจำกัดจากราคาก๊าซที่ลดลง และน่าจะลดลงจนถึงช่วง 2Q17 เรายังคงแนะนำขาย ราคาพื้นฐานปีนี้ 80 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
10-21 ต.ค. - ไทย:กลุ่มธนาคารพาณิชย์ประกาศผลประกอบการ 3Q16
14 ต.ค. - จีน:อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
- สหรัฐ:ยอดค้าปลีก (ก.ย.), U. of Mich. Sentiment (ต.ค.)
17 ต.ค. - สหรัฐ: Industrial Production (ก.ย.)
- ยูโรโซน:อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
18 ต.ค. - สหรัฐ:อัตราเงินเฟ้อ (ก.ย.)
19 ต.ค. - จีน: 3Q16 GDP, ยอดค้าปลีก (ก.ย.)
20 ต.ค. - ไทย: ยอดขายรถ (ก.ย.)
- อินโดนีเซีย: ธนาคารกลาง (BI)ประชุม
- สหรัฐ: Fed beige Book, ยอดขายบ้านเก่า (ก.ย.),การดีเบตรอบสุดท้ายของฮิลลารีและทรัมป์ (8amเวลาไทย)
- ECBประชุม
24 ต.ค. - ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ต.ค.)
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบ โดยนักลงทุนตอบรับเชิงลบต่อตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาอ่อนแอ และยังกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต
(-) ด้านตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบเช่นกัน โดยตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอฉุดหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่ให้ร่วงลง
(0) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดในกรอบแคบค่อนมาในแดนบวก โดย Sentiment ยังถูกถ่วงจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ
(+) ค่าเงินบาทแข้งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 35.05-35.40 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.26 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 50.44 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ว่า EIA เปิดเผยรายงานสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่สต๊อกน้ำมันดิบเบนซินกลับปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงปริมาณผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.80 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,257.60 ดอลลาร์/ออนซ์ จากค่าเงินดอลลาร์ที่เริ่มอ่อนค่าลง รวมถึงแรงหนุนของตัวเลขเศรษฐกิจจีนทีออกมาอ่อนแอ
Contact person : Somchai Anektaweepon
Register : 002265 Tel: 02-646-9967, 02-646-9852
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research, IG: finansiasyrusresearch