- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 11 October 2016 20:04
- Hits: 5720
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'แม้มีเด้งก็ยังต้องระวัง Downside Risk'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด -47.32 จุดที่ 1457.02 มูลค่าซื้อขาย 7 หมื่นกว่าล้านบาท โดยปัจจัยกดดัน คือ ความกังวลปัจจัยในประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศนำขายสุทธิตามคาดที่ 7.2 พันล้านบาท ต่างชาติและรายย่อยซื้อสุทธิ 1 พันล้านบาท และ 6.9 พันล้านบาท ตามลำดับ ส่วนพอร์ตบล.ขายสุทธิ 600 กว่าล้านบาท
Sentiment การลงทุนในต่างประเทศและเอเชียค่อนไปทางบวก แต่ไม่ถึงกับแกร่งมาก โดยในสหรัฐตลาดหุ้นปรับขึ้นตอบรับผลการดีเบตที่ฮิลลารี่มีคะแนนชนะทรัมป์ 57% ต่อ 34% (สำรวจโดย CNN) และราคาน้ำมันดิบดิบปรับขึ้นเพราะกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันมีความพยายามที่ทำให้ตลาดเชื่อว่ามีความกระตือรือร้นมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน (แต่ในทางปฎิบัติจริงทำได้ยาก เพราะผู้ผลิตมักจะเพิ่มปริมาณการผลิตในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น) ส่วนในประเทศ ยังมีการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3/59 แต่น้ำหนักกดดันจากความไม่แน่นอนก็มีมาก และอาจทำให้ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้นภูมิภาคในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้
กลยุทธ์ : ช่วงสั้นยังต้องระวังการแกว่ง/อ่อนตัวจากความไม่แน่นอนในประเทศ & ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การเล่นรอบเน้นซื้อจังหวะอ่อนตัวเพื่อขายรีบาวด์ ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาวแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาลงแรง สำหรับหุ้นปันผลสูงที่แนะนำวันนี้เป็น CPNRF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นลบ และยังควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง เน้นซื้ออ่อนตัว แนวเด้ง 1450-1440, 1410-1400 จุด ส่วนแนวต้านกรณีมีรีบาวด์ 1470, 1480 จุด
ส่วนการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่ -ไม่มี- ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น JASIF, CPNRF, TISCO, MEGA หุ้นที่หลุด List คือ INTUCH, ANAN, LOXLEY, STPI, PTG, NETBAY, SUSCO, CBG ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและควรหาจังหวะ Take Profit -ไม่มี-
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
สหรัฐ : ฮิลลารี่มีคะแนนนำทรัมป์ในการดีเบตครั้งที่ 2
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่จัดทำโดยสำนักข่าว CNN ชี้ว่า นางฮิลลารี คลินตัน ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต สามารถคว้าชัยชนะเหนือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ไปด้วยคะแนน 57% ต่อ 34% ในการโต้วาทีรอบที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน รัฐมิสซูรี
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นรับฮิลลารี่ชนะดีเบต#2 และราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
ดัชนี DJIA ปิดที่ 18,329.04 จุด เพิ่มขึ้น 88.55 จุด หรือ +0.49% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,328.67 จุด เพิ่มขึ้น 36.27 จุด หรือ +0.69% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,163.66 จุด เพิ่มขึ้น 9.92 จุด หรือ +0.46% ตอบรับผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่จัดทำโดย CNN/ORC ที่บ่งชี้ว่านางฮิลลารีสามารถคว้าชัยชนะเหนือนายทรัมป์ด้วยคะแนน 57% ต่อ 34% ในการโต้วาทีรอบที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเช้าวานนี้ตามเวลาไทยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน รัฐมิสซูรี รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นก็ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้นจากความพยายามรักษาเสถียรภาพราคาของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนภายหลังจากนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และนายคาหลิด อัล-ฟาลีห์ รมว.พลังงานซาอุดิอาระเบีย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าจะให้ความร่วมมือในข้อตกลงปรับลดเพดานการผลิตน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.54 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 51.35 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.21 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 53.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
+สัญญาทองคำ : รีบาวด์
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 8.5 ดอลลาร์ หรือ +0.68% ปิดที่ 1,260.4 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยหนุน คือ แรงซื้อเก็งกำไรหลังสัญญาทองคำอ่อนลงมา 6 วันทำการต่อเนื่อง แต่ก็ยังอยู่ในโมเมนตัมลบโดยเฉพาะเมื่อตลาดประเมินว่าเฟดมีโอกาสมากขึ้นที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ต้นเดือนพ.ย.นี้
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
TISCO (ราคาปิด 53.25 บาท) : กำไร 3Q59 เติบโตสูง YoY แต่ QoQ เพิ่มไม่มาก
ธนาคารรายงานกำไรสุทธิ 3Q59 เท่ากับ 1.25 พันล้านบาท เติบโต 54%YoY และ 3.5%QoQ ส่วนงวด 9M59 มีกำไรสุทธิ 3.7 พันล้านบาทเติบโต 24%YoY โดยหลักมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อฯลดลง (-49%YoY) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (+28%YoY) และรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุน (+30%YoY) แต่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มไม่มาก (+6%YoY) และรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารหดตัว (-2%YoY) เพราะปล่อยสินเชื่อใหม่น้อย สำหรับสินเชื่อ ณ สิ้นก.ย.59 หดตัว 1.9%QoQ เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ยังซบเซาและเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินลงทุนลดลง 1.2%QoQ ด้าน NPL Ratio สิ้น 3Q59 อยู่ที่ 3.04% ทรงตัวเมื่อเทียบ QoQ การตั้งสำรองฯอยู่ที่ 1.93% ของสินเชื่อรวม ซึ่งลดลงจากไตรมาสก่อนเพราะคุณภาพสินเชื่อในพอร์ตดีขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ DBSV แนะนำถือ ราคาพื้นฐาน 46 บาท (อยู่ระหว่างปรับปรุง)
TICON (ราคาปิด 15.70 บาท) : เพิ่มทุน PP ให้ FPHT เข้ามาถือหุ้น 40% แต่ขอผ่อนผันไม่ทำเทนเดอร์ฯ
บอร์ดมีมติเพิ่มทุน PP ไม่เกิน 735 ล้านหุ้นให้กับกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ : FPHT ราคาหุ้นละ 18 บาท หลังเพิ่มทุนแล้วกลุ่ม FPHT จะถือหุ้น 40% และมีเงื่อนไขว่าจะขอผ่อนผันไม่ทำเทนเดอร์ฯ โดยอาศัย Whitewash (คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง) & ตัวแทนของ FPHT จะเข้ามาดำรงตำแหน่งบริหารหรือมีอำนาจควบคุมบริษัท
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : การเพิ่มทุนครั้งนี้มี Dilution effect ต่อผู้ถือหุ้นเดิม 40% แต่ก็น่าจะเป็นบวกในระยะยาว เพราะกลุ่มเฟรเซอร์สฯ มีประสบการณ์และผลงานในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในหลายทวีป และทาง TICON เองก็สามารถนำเงินจากการเพิ่มทุน 1.32 หมื่นล้านบาทไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจ & เป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไปด้วย ทั้งนี้ราคาเพิ่มทุนที่ 18 บาท เทียบเท่ากับ P/E ปี 59 ราว 15 เท่า และ P/BV 1.7 เท่า (BVS สิ้นมิ.ย.59 เท่ากับ 10.4 บาท/หุ้น) ทั้งนี้หลังเพิ่มทุนแล้ว BVS บริษัทจะขยับขึ้นเป็น 13.4 บาท/หุ้น สำหรับ ROJNA สัดส่วนการถือหุ้นใน TICON จะลดลงเหลือ 26.1% (จากเดิม 43.6%) และอำนาจควบคุมการบริหารลดลงหลัง FPHT เข้ามาถือหุ้น ซึ่งในทางบัญชีน่าจะต้องปรับการรับรู้รายได้และกำไรในงบการเงินจาก Consolidated เป็น Equity method ซึ่งคาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่เข้ามาจะน้อยลงในระยะแรกเพราะมี Dilution effect แต่ก็อาจเป็นเรื่องดีในระยะยาวหากธุรกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งจากการมีพันธมิตรใหม่ ตือ FPHT เข้ามา ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ยังคงแนะนำ Fully Valued สำหรับ ROJNA โดยคาดว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และผลดีที่จะได้จากการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น TICON ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน ส่วน TICON เป็น Not Rated
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]