- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 06 October 2016 17:49
- Hits: 5391
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'เล่นรอบ-แกว่งไม่หลุด 1500 ยังเลือกซื้อ/ถือต่อ'
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิดทรงตัว จากที่ปัจจัยในตลาดค่อนข้าง Mixed นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิ 1.1 พันล้านบาท ขณะที่สถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิไปมากในวันก่อนหน้ากลับมาขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิและรายย่อยขายสุทธิเป็นหลักร้อยล้านบาท
ปัจจัยในประเทศที่มีน้ำหนักในช่วงนี้เป็นการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 3Q59 ซึ่งเราคาดว่าจะเติบโตสูงมากเมื่อเทียบ YoY โดยเฉพาะกลุ่มโภคภัณฑ์ที่ฐานกำไร 3Q58 ต่ำผิดปกติอันเกิดจากขาดทุนในสต็อกและตั้งสำรองด้อยค่าในเงินลงทุนจำนวนมาก ส่วนในต่างประเทศ ระยะสั้นมากมีปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่เด้งกลับเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเกินคาดแต่ภาพระยะ 1-3 เดือนยังผันผวนในกรอบ 40-55 US$/bbl (ล่าสุดปิดที่ 51.68 US$/bbl) ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ สำหรับ QE ของยูโรโซนแม้ว่าประธาน ECB จะปฎิเสธข่าวการลด QE แต่ตลาดประเมินว่าการเข้าซื้อพันธบัตรของ ECB ก็จำกัดอยู่ด้วยซัพพลายที่มีน้อยมากอยู่แล้ว เรื่องดอยซ์แบงก์ซาลงแต่ก็ยังไม่ได้สรุปเรื่องค่าปรับที่ชัดเจน โดยรวมมองว่าตลาดยังจะแกว่งตัว การลงทุนต้องระมัดระวังสูงเนื่องจากมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงกดดันอยู่
กลยุทธ์ : ช่วงสั้นยังเน้นการเลือกซื้อเพื่อเล่นรอบไปก่อน ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาวแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัวแรง ทั้งนี้หุ้น Top Picks ของเดือนต.ค.59 เป็น ANAN, CPALL, DIF, LPH และ Dark Horse คือ TKN สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำเชิงกลยุทธ์วันนี้เป็น LPH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญาณระยะสั้นเป็นบวก แต่ยังควรระวังการแกว่งตัวจากโครงสร้างขาลงในระยะกลาง การปรับขึ้นต่อมีแนวต้าน 1515-1520, 1530 จุด เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น ต่ำกว่า 1495 จุดลดพอร์ตตาม/Stop Loss
ส่วนผลการ SCAN หุ้นที่มีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่ คือ ANAN, TPBI, ITEL, LOXLEY ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ JASIF, CPNRF, AUCT, INTUCH, SMPC หุ้นที่หลุด List -ไม่มี-ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและควรหาจังหวะ Take Profit คือ KKP, CK, TOP, MALEE
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]
Need to know TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ดัชนีภาคบริการ ISM เพิ่มขึ้น
สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ได้เปิดเผยว่าดัชนีภาคบริการของ ISM อยู่ที่ระดับ 57.1 ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นดีมากจาก 51.4 ในเดือนส.ค. รวมทั้งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 53.0 โดยดัชนีเดือนก.ย.ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 80 เพราะมีแรงหนุนจากกิจกรรมทางธุรกิจและการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น
+ สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเติบโตต่อในเดือนส.ค.
ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเพิ่มขึ้น 0.2%MoM ในเดือนส.ค. ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน เพิ่มขึ้น 0.9%MoM ในเดือนส.ค. โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ
-/สหรัฐ : การจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่าการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนก.ย.59 เพิ่มขึ้นเพียง 154,000 ตำแหน่ง ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.59 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 166,000 ตำแหน่ง สำหรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.9%
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : เด้งกลับ
ราคาน้ำมันดิบที่ทะยานขึ้นกว่า 2% ช่วยให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้น และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนตลาดด้วย ปิดตลาดดัชนี DJIA พุ่งขึ้น 112.58 จุด หรือ +0.62% ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 26.36 จุด หรือ +0.50% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 9.24 จุด หรือ +0.43%
+ สัญญาน้ำมันดิบ : ปรับขึ้น..สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 49.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 99 เซนต์ หรือ 2% ปิดที่ 51.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIA รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 499.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล
สัญญาทองคำ : อ่อนต่อเล็กน้อย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. แกว่งเคบและปิดลดลงเล็กน้อย 1.1 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ที่ระดับ 1,268.6 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
เร่งผลักดันประมูลโครงการลงทุนขนาดใหญ่ 4Q59
กระทรวงคมนาคมเร่งการเปิดประมูล 11 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ มูลค่ารวมกว่า 3.4 แสนล้านในไตรมาส 4/59 โดยมีโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง รถไฟฟ้าในกรุงเทพ 2 เส้นทาง เร่งมอเตอร์เวย์ช่วงที่เหลือ และเดินหน้าโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 อีก 2 โครงการ
ความเห็นเชิงกลยุทธ์ Retail Research : เราคาดว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 4/59 แต่การเปิดประมูลอาจจะไม่ได้ครบทั้ง 11 โครงการ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ที่ค่อนข้างเงียบ สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างที่คาดว่าจะมีผลประกอบการแข็งแกร่งในปีนี้ คือ
- CK (ราคาพื้นฐาน 40 บาท) - ได้ส่วนแบ่งกำไรจาก BEM เข้ามาช่วยหนุน มีงานส่วนเพิ่มของไซยะบุรี Backlog สูงและมีโอกาสได้รับงานใหม่ๆเข้ามาเพิ่มอีกในระยะต่อไป
- SCC (ราคาพื้นฐาน 580 บาท) - มีการกระจายความเสี่ยงธุรกิจที่ดี โดยมีธุรกิจซีเมนต์ & วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี รวมทั้งมีรายได้ทั้งจากในประเทศและภูมิภาค การเติบโตเป็นไปได้ดีในระยะยาวโดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอุปสงค์ขยายตัวในอัตราสูง ด้านมาร์จิ้นก็มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม
- TMT (ราคาพื้นฐาน 13.8 บาท) - ผลประกอบการปี 59 เติบโตโดดเด่น เนื่องจากราคาเหล็กที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจากสต็อกของดีลเลอร์ที่ต่ำ การนำเข้าทำได้น้อยลง และส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทเพิ่มขึ้นเนื่องจากประสบความสำเร็จในการให้บริการแบบ Solution ครบวงจร บริษัทจ่ายปันผลสูงและคาดว่าปีนี้จะจ่ายได้ดีกว่าปกติ
+ LPH (ราคาปิด 9.15 บาท) : คาดกำไร 3Q59 เติบโตสูง 40% y-o-y และทำสถิติสูงสุดใหม่
ทาง DBSV คาดการณ์กำไร 3Q59 แข็งแกร่งที่ 44 ล้านบาท (+40% y-o-y, +16% q-o-q) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่ของโรงพยาบาล โดยรายได้คาดว่าจะเติบโต 10%YoY เป็น 321 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากคนไข้ที่มาใช้บริการเพิ่มโดยเฉพาะส่วนคนไข้ประกันสังคม และมีรายได้จากศูนย์ตา ศูนย์เลเซอร์และรักษาผิวหนัง เข้ามาช่วยหนุน รวมทั้งไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ดีของธุรกิจโรงพยาบาลด้วย ประเมินอัตรากำไรขั้นต้นที่ 26% ซึ่งเป็นเป้าหมายของ LPH ทั้งนี้ในส่วนงานประกันสังคมนั้นโรงพยาบาลมีรายได้เพิ่มแต่ต้นทุนสูงขึ้นไม่มากเพราะส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ซึ่งเดิมมีอยู่แล้ว (อัตรากำไรขั้นต้นคนไข้ทั่วไปอยู่ที่ 20-25% และส่วนศูนย์บริการเฉพาะทาง 25-30%)
ด้านกำไรจาก AMARC (AMARC : Asia Medical and Agricultural Laboratory and Research Center, LPH ถือหุ้น 97.14%) เติบโตดีโดยคาดว่าจะอยู่ที่ 34 ล้านบาท (+15% y-o-y and q-o-q) เพราะมีงาน Testing เข้ามามากขึ้น ซึ่งงานส่วนนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 42% ทางโรงพยาบาลกำลังพิจารณาการลงทุนในโรงพยาบาลเดชาอย่างระมัดระวัง โดยเห็นว่าราคาขายที่ 500-700 ล้านบาทนั้นสูงเกินไป จึงเสนอเป็นลักษณะของการเช่าดำเนินงานระยะยาว 20 ปี ขณะนี้กำลังรอผลการตัดสินใจจากเจ้าของโรงพยาบาลเดชา หากเช่าได้ LPH จะใช้เงินลงทุน 100-200 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงและซื้ออุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ
แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 10.90 บาท (DCF, WACC 7% และ terminal growth rate 3.5%) ทั้งนี้คาดว่าผลประกอบการปี 59 จะเติบโตแข็งแกร่ง (+85%) และขยายตัวต่อได้ดีในปี 60 (+18%) แม้ว่าฐานกำไรของปี 59 จะสูงขึ้นมากก็ตาม โรงพยาบาลกำลังเร่งขยายในส่วนคนไข้ต่างชาติ (เพิ่งเปิดศูนย์ตาใน Joint Commission International ให้บริการคนไข้ประกันและคนไข้ต่างชาติเมื่อส.ค.59 และจะเปิดศูนย์เลเซอร์และรักษาผิวหนังใน 4Q59) โดยเน้นลูกค้าในกลุ่มประเทศ CLMV สำหรับความเสี่ยงหลัก คือ ต้นทุนบุคคลากรแพทย์และพยาบาลที่สูงขึ้น แต่ LPH ก็ได้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มบริการที่มีมูลค่าเพิ่มมาชดเชยเพื่อให้มาร์จิ้นอยู่ในระดับที่ดีได้
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - [email protected]